สกอตแลนด์เข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนการลงประชามติครั้งประวัติศาสตร์ในวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.)นี้ โพลล่าสุดชี้ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการแยกตัวจากอังกฤษมีคะแนนนำเฉียดฉิว ตัวแปรสำคัญจึงอยู่ที่กลุ่มยังไม่ตัดสินใจซึ่งมีจำนวนมากพอชี้ขาดอนาคตของสกอตแลนด์และสหราชอาณาจักร
ทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านการแยกตัวเป็นอิสระของสกอตแลนด์ ต่างวางแผนตระเวนหาเสียงเป็นการปิดท้ายในวันพุธ (17) ก่อนที่ทางการจะเปิดให้ลงประชามติในวันพฤหัสบดีตั้งแต่เวลา 6.00 น. ตามเวลามาตรฐานกรีนิช (ตรงกับ 13.00 น. ตามเวลาไทย) ซึ่งผู้มีสิทธิ์โหวตจะตอบคำถามในใบลงประชามติว่า สกอตแลนด์ควรเป็นประเทศเอกราชหรือไม่
ในสาส์นที่ส่งถึงประชาชนชาวสกอต นายกรัฐมนตรีอเล็กซ์ ซาลมอนด์ ของรัฐบาลเขตการปกครองสกอตแลนด์ ซึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนการประกาศอิสรภาพ เรียกร้องให้ชาวสกอตถือโอกาสการลงประชามติครั้งประวัติศาสตร์นี้ ยุติการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร
ทว่า อลิสแตร์ ดาร์ลิง อดีตรัฐมนตรีคลังอังกฤษ ที่เป็นแกนนำกลุ่มโหวต “โน” แย้งว่า จะมี “การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและดียิ่งขึ้น” หากสกอตแลนด์ยังเป็นส่วนหนึ่งในสหราชอาณาจักรเหมือนเช่นช่วงเวลา 307 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ผู้นำของพรรคการเมืองหลักทั้ง 3 พรรคของอังกฤษ ได้แก่ พรรคคอนเซอร์เวทีฟ, พรรคเลเบอร์, และพรรคโซเชียลเดโมแครต ต่างได้ลงนามให้คำมั่นสัญญาว่าจะเพิ่มอำนาจให้รัฐบาลเขตการปกครองสกอตแลนด์ หากผลการลงประชามติออกมาว่า ไม่มีการแยกประเทศ
สำหรับผลการสำรวจความคิดเห็นล่าสุดที่มีการเผยแพร่ในวันพุธ (17) ทั้ง 3 สำนัก ล้วนแสดงให้เห็นว่า แรงสนับสนุนการแยกประเทศมีเพิ่มมากขึ้น แต่หากไม่นำเอากลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจเข้ามารวมด้วยแล้ว การประกาศอิสรภาพจะถูกปฏิเสธโดยผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 52% ต่อ 48%
ทั้งนี้ โพลของไอซีเอ็ม พบว่า ผู้โหวต “โน” ไม่เอาการแยกตัว เป็นฝ่ายนำอยู่ 45% ต่อ 41% และอีก 14% ยังไม่ตัดสินใจ
ส่วนโพลของบริษัทวิจัยโอเปียม พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 49% จากทั้งหมด 1,156 คน สนับสนุนให้สกอตแลนด์อยู่กับอังกฤษตามเดิม และ 45% ต้องการประกาศอิสรภาพ โดยมี 6% ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ
ขณะที่โพลของเซอร์เวชัน ซึ่งทำให้หนังสือพิมพ์สกอตติช เดลิ เมล์ ระบุว่า 47.7% ไม่เห็นด้วยกับการแยกตัวจากอังกฤษ, 44.1% เห็นด้วย และ 8.3% ยังไม่ตัดสินใจ
นอกจากนี้สถาบันวิจัยสกอตเซน ได้สรุปค่าเฉลี่ยของโพลสำนักต่างๆ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนการลงประชามติ ซึ่งปรากฏว่า 51% คัดค้านการประกาศเอกราช และ 49% เห็นด้วย
ทางด้าน แบลร์ เจนกินส์ ประธานบริหารกลุ่มสนับสนุนการประกาศอิสรภาพ “เยส สกอตแลนด์” ยอมรับว่า ผลของการลงประชามติน่าจะออกมาแบบเฉือนกันหวุดหวิด
ทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านการแยกตัวเป็นอิสระของสกอตแลนด์ ต่างวางแผนตระเวนหาเสียงเป็นการปิดท้ายในวันพุธ (17) ก่อนที่ทางการจะเปิดให้ลงประชามติในวันพฤหัสบดีตั้งแต่เวลา 6.00 น. ตามเวลามาตรฐานกรีนิช (ตรงกับ 13.00 น. ตามเวลาไทย) ซึ่งผู้มีสิทธิ์โหวตจะตอบคำถามในใบลงประชามติว่า สกอตแลนด์ควรเป็นประเทศเอกราชหรือไม่
ในสาส์นที่ส่งถึงประชาชนชาวสกอต นายกรัฐมนตรีอเล็กซ์ ซาลมอนด์ ของรัฐบาลเขตการปกครองสกอตแลนด์ ซึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนการประกาศอิสรภาพ เรียกร้องให้ชาวสกอตถือโอกาสการลงประชามติครั้งประวัติศาสตร์นี้ ยุติการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร
ทว่า อลิสแตร์ ดาร์ลิง อดีตรัฐมนตรีคลังอังกฤษ ที่เป็นแกนนำกลุ่มโหวต “โน” แย้งว่า จะมี “การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและดียิ่งขึ้น” หากสกอตแลนด์ยังเป็นส่วนหนึ่งในสหราชอาณาจักรเหมือนเช่นช่วงเวลา 307 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ผู้นำของพรรคการเมืองหลักทั้ง 3 พรรคของอังกฤษ ได้แก่ พรรคคอนเซอร์เวทีฟ, พรรคเลเบอร์, และพรรคโซเชียลเดโมแครต ต่างได้ลงนามให้คำมั่นสัญญาว่าจะเพิ่มอำนาจให้รัฐบาลเขตการปกครองสกอตแลนด์ หากผลการลงประชามติออกมาว่า ไม่มีการแยกประเทศ
สำหรับผลการสำรวจความคิดเห็นล่าสุดที่มีการเผยแพร่ในวันพุธ (17) ทั้ง 3 สำนัก ล้วนแสดงให้เห็นว่า แรงสนับสนุนการแยกประเทศมีเพิ่มมากขึ้น แต่หากไม่นำเอากลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจเข้ามารวมด้วยแล้ว การประกาศอิสรภาพจะถูกปฏิเสธโดยผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 52% ต่อ 48%
ทั้งนี้ โพลของไอซีเอ็ม พบว่า ผู้โหวต “โน” ไม่เอาการแยกตัว เป็นฝ่ายนำอยู่ 45% ต่อ 41% และอีก 14% ยังไม่ตัดสินใจ
ส่วนโพลของบริษัทวิจัยโอเปียม พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 49% จากทั้งหมด 1,156 คน สนับสนุนให้สกอตแลนด์อยู่กับอังกฤษตามเดิม และ 45% ต้องการประกาศอิสรภาพ โดยมี 6% ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ
ขณะที่โพลของเซอร์เวชัน ซึ่งทำให้หนังสือพิมพ์สกอตติช เดลิ เมล์ ระบุว่า 47.7% ไม่เห็นด้วยกับการแยกตัวจากอังกฤษ, 44.1% เห็นด้วย และ 8.3% ยังไม่ตัดสินใจ
นอกจากนี้สถาบันวิจัยสกอตเซน ได้สรุปค่าเฉลี่ยของโพลสำนักต่างๆ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนการลงประชามติ ซึ่งปรากฏว่า 51% คัดค้านการประกาศเอกราช และ 49% เห็นด้วย
ทางด้าน แบลร์ เจนกินส์ ประธานบริหารกลุ่มสนับสนุนการประกาศอิสรภาพ “เยส สกอตแลนด์” ยอมรับว่า ผลของการลงประชามติน่าจะออกมาแบบเฉือนกันหวุดหวิด