สำนักข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) แถลงการณ์ว่า ความรุนแรงในอิรักที่เกิดจากการสู้รบระหว่างกองกำลังติดอาวุธรัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย (ไอซิส) กับกองกำลังของรัฐบาลอิรัก เริ่มตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว เมื่อรัฐบาลใช้กำลังปราบปรามค่ายของผู้ประท้วงในเมืองรามาดิ โดยรัฐบาลอ้างว่า ค่ายดังกล่าวถูกใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของแกนนำกลุ่มอัลกออิดะห์
ทั้งนี้ การปะทะได้ขยายวงกว้างไปถึงเมืองฟัลลูจาห์ จนกระทั่งวันที่ 10 มิถุนายน กลุ่มไอซิสได้ยึดเมืองโมซุล เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอิรักได้สำเร็จ ตามมาด้วยการยึดเมืองติกริต ทำให้รัฐบาลส่งกองกำลังเข้าไปปราบปรามกลุ่มติดอาวุธ เพื่อไม่ให้รุกคืบเข้ามายึดกรุงแบกแดด ซึ่งความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทำให้ชาวอิรักมากกว่า 1 ล้านคน ต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัยเพื่อหนีภัยการสู้รบ โดยเฉพาะเมืองโมซุล มีประชาชนอพยพประมาณ
500,000 คน ส่วนที่เหลือเป็นชาวอิรักที่อาศัยอยู่ในจังหวัดอันบาร์ ซึ่งกลุ่มติดอาวุธนิกายสุหนี่ยึดเมืองนี้ได้ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การปะทะได้ขยายวงกว้างไปถึงเมืองฟัลลูจาห์ จนกระทั่งวันที่ 10 มิถุนายน กลุ่มไอซิสได้ยึดเมืองโมซุล เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอิรักได้สำเร็จ ตามมาด้วยการยึดเมืองติกริต ทำให้รัฐบาลส่งกองกำลังเข้าไปปราบปรามกลุ่มติดอาวุธ เพื่อไม่ให้รุกคืบเข้ามายึดกรุงแบกแดด ซึ่งความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทำให้ชาวอิรักมากกว่า 1 ล้านคน ต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัยเพื่อหนีภัยการสู้รบ โดยเฉพาะเมืองโมซุล มีประชาชนอพยพประมาณ
500,000 คน ส่วนที่เหลือเป็นชาวอิรักที่อาศัยอยู่ในจังหวัดอันบาร์ ซึ่งกลุ่มติดอาวุธนิกายสุหนี่ยึดเมืองนี้ได้ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
