เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 28 ธ.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) น.พ.ประดิษฐ สินธวณรงณ์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ พล.ต.สุรชาติ จิตต์แจ้ง หัวหน้าส่วนประชาสัมพันธ์และสารสนเทศ สำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม ร่วมแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ว่า กระทรวงสาธารณสุขขอยืนยันว่าจะดูแลผู้บาดเจ็บทุกฝ่ายเท่าๆ กันตามหลักมนุยธรรมและไม่เลือปฏิบัติ แต่ต้องเน้นถึงความปลอดภัยของบุคลาการและเจ้าหน้าที่อาสา โดยกระทรวงฯ ได้จัดทีมแพทย์อาสาตั้งเต้นท์พยาบาลสนาม เพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนลำเลียงคนเจ็บส่งโรงพยาบาล
เบื้องต้นจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง โดยล่าสุดมีผู้บาดเจ็บ 157 ราย เป็นประชาชน 119 รายและมีผู้เสียชีวิต 2 ราย ผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่เกิดจากแก๊สน้ำตา ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บ 38 นาย เสียชีวิต 2 นาย ส่วนใหญ่บาดเจ็บจากการถูกกระสุนปืนทำร้าย
รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอร้องให้ผู้ชุมนุมและผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องอย่าขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่พยาบาล เพราะเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ที่ผ่านมา ตอนที่ ด.ต.ณรงค์ ปิติสิทธิ์ ถูกยิง เจ้าหน้าที่พยายามช่วยชีวิตและลำเลียงผู้บาดเจ็บออกจากพื้นที่เพื่อมารักษา แต่ถูกขัดขวางโดยการยิงปืน แม้กระทั่งลำเลียงขึ้นเฮลิคอปเตอร์ก็ยังมีการยิงใส่ โชคดีที่ไม่ถูกห้องเครื่อง เรื่องดังกล่าวไม่ต้องพูดถึงหลักกฎหมายสากล ให้นึกถึงหลักมนุษยธรรมก็พอแล้ว เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้นบนแผ่นดินไทยนี้ ไม่ควรใช้ความรุนแรงแม้กระทั่งกับคนที่เข้าไปช่วยชีวิตคนที่ได้รับบาดเจ็บ
ด้าน พล.ต.สุรชาติ เปิดเผยว่า ส่วนของทหารนั้นแม้ในสงครามก็มีหลักสากลที่ยึดถือปฎิบัติซึ่งเป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวา 1949 ว่าด้วยการดูแลรักษาทหารผู้บาดเจ็บและเจ็บป่วยในสนามรบ กล่าวคือให้ความคุ้มครองทหารที่ต้องออกจากการรบ เนื่องจากความเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ เช่นเดียวกับบุคคลากรทางการแพทย์ หรือบุคคลทางศาสนาและพลเรือนในพื้นที่การรบ แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่ใช่สถานการณ์การสู้รบที่แท้จริง แต่ตามหลักมนุษยธรรมสามารถนำมาเทียบเคียงได้ ดังนั้น การขัดขวางการช่วยชีวิต การขัดขวางการลำเลียงขนส่งผู้บาดเจ็บโดยเฮลิคอปเตอร์ ด้วยการยิง จึงเป็นการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมอย่างสิ้นเชิง
เบื้องต้นจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง โดยล่าสุดมีผู้บาดเจ็บ 157 ราย เป็นประชาชน 119 รายและมีผู้เสียชีวิต 2 ราย ผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่เกิดจากแก๊สน้ำตา ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บ 38 นาย เสียชีวิต 2 นาย ส่วนใหญ่บาดเจ็บจากการถูกกระสุนปืนทำร้าย
รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอร้องให้ผู้ชุมนุมและผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องอย่าขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่พยาบาล เพราะเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ที่ผ่านมา ตอนที่ ด.ต.ณรงค์ ปิติสิทธิ์ ถูกยิง เจ้าหน้าที่พยายามช่วยชีวิตและลำเลียงผู้บาดเจ็บออกจากพื้นที่เพื่อมารักษา แต่ถูกขัดขวางโดยการยิงปืน แม้กระทั่งลำเลียงขึ้นเฮลิคอปเตอร์ก็ยังมีการยิงใส่ โชคดีที่ไม่ถูกห้องเครื่อง เรื่องดังกล่าวไม่ต้องพูดถึงหลักกฎหมายสากล ให้นึกถึงหลักมนุษยธรรมก็พอแล้ว เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้นบนแผ่นดินไทยนี้ ไม่ควรใช้ความรุนแรงแม้กระทั่งกับคนที่เข้าไปช่วยชีวิตคนที่ได้รับบาดเจ็บ
ด้าน พล.ต.สุรชาติ เปิดเผยว่า ส่วนของทหารนั้นแม้ในสงครามก็มีหลักสากลที่ยึดถือปฎิบัติซึ่งเป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวา 1949 ว่าด้วยการดูแลรักษาทหารผู้บาดเจ็บและเจ็บป่วยในสนามรบ กล่าวคือให้ความคุ้มครองทหารที่ต้องออกจากการรบ เนื่องจากความเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ เช่นเดียวกับบุคคลากรทางการแพทย์ หรือบุคคลทางศาสนาและพลเรือนในพื้นที่การรบ แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่ใช่สถานการณ์การสู้รบที่แท้จริง แต่ตามหลักมนุษยธรรมสามารถนำมาเทียบเคียงได้ ดังนั้น การขัดขวางการช่วยชีวิต การขัดขวางการลำเลียงขนส่งผู้บาดเจ็บโดยเฮลิคอปเตอร์ ด้วยการยิง จึงเป็นการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมอย่างสิ้นเชิง