แกนนำเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน 16 จังหวัดภาคใต้ ขึ้นเวทีชุมนุมที่บ้านศรีนคร อ.บางสะพาน อ.ประจวบคีรีขันธ์เมื่อคืนนี้ เพื่อชี้แจงผลการเจรจากับผู้ว่าราชการ จ.ประจวบคีรีขันธ์กับผู้ชุมนุม โดยเป็นการชี้แจงหลังแกนนำกลับมาหารือร่วมกัน
ในการเจรจากับผู้ว่าราชการ จ.ประจวบคีรีขันธ์ได้ผลว่า ไม่มีการหารือในข้อเรียกร้องเดิมที่ผู้ชุมนุมเคยเรียกร้องราคายางพาราที่กิโลกรัมละ 100 บาท แต่เป็นการหารือถึงค่าชดเชยที่รัฐบาลจะมอบให้เกษตรกร 2,520 บาทต่อไร่ ไม่เกินรายละ 25 ไร่ โดยผู้ชุมนุมขอให้รัฐบาลชดเชยให้กับเกษตรกรที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ด้วย ขณะที่ผู้ว่าราชการ จ.ประจวบคีรีขันธ์ได้ขอให้เกษตรกรส่งตัวแทนเข้าร่วมในคณะอนุกรรมการ และขอเวลา 30 วัน ว่าจะให้ค่าชดเชยกับกลุ่มที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตามหลังกลับไปที่ชุมนุม ทางแกนนำเรียกร้องให้รัฐบาลให้คำตอบภายในเวลา 18.00 น. ของวันนี้ (29 ต.ค.) เท่านั้น
ส่วนสถานการ์เช้าวันนี้ (29/10/56) ผู้ที่เดินทางขึ้นลงเส้นทางภาคใต้ ยังคงต้องใช้เส้นทางเลี่ยงถนนเพชรเกษม โดยใช้ถนนเลียบชายทะเล มุ่งหน้าสู่ อ.ปะทิว จ.ชุมพร เป็นเส้นทางหลัก เนื่องจากผู้ชุมนุมยังคงใช้ต้นไม้กีดขวางเส้นทางจราจรในบริเวณพื้นที่ชุมนุม ซึ่งผู้ชุมนุมยืนยันว่า จะยังไม่เปิดเส้นทางจราจรจนกว่าจะได้คำตอบที่ชัดเจนจากรัฐบาล ซึ่งมีกำหนดเวลาถึงเวลา 18.00 น. ของวันนี้ (29/10/56) ก่อนจะกำหนดท่าทีต่อไปว่า หากไม่ได้รับการตอบรับจะมีมาตรการอย่างไรต่อไป
ทั้งนี้ในขั้นตอนของการเจรจา แกนนำกล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องราคากิโลกรัมละ 100 บาท ในตอนนี้ทางเกษตรกรผู้ปลูกยางพารายอมที่จะเข้าใจแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังมองว่ายังมีความเหลื่อมล้ำในการให้ความช่วยเหลืออยู่ โดยเฉพาะประเด็นของพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งที่ผ่านมาเขามองว่า พื้นที่เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราที่ไม่เอกสารสิทธิ์มีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีถึงประมาณร้อยละ 90 ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ แต่ว่ามีการเข้าทำกินในพื้นที่นี้มานานหลายสิบปีแล้ว และถูกเก็บภาษีค่าน้ำยางมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นเมื่อได้รับความช่วยเหลือก็ต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึงด้วย
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งคือ กลุ่มผู้มีอาชีพรับจ้างกรีดยาง หากความช่วยเหลือไม่ครอบคลุมไปถึงผู้ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ผู้รับจ้างกรีดยางก็จะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ 2,520 บาทต่อไร่ด้วย แต่เงินจำนวนดังกล่าวจะตกไปเป็นของเจ้าของที่ดินที่เป็นเจ้าของเอกสารสิทธิ์แทน
ในการเจรจากับผู้ว่าราชการ จ.ประจวบคีรีขันธ์ได้ผลว่า ไม่มีการหารือในข้อเรียกร้องเดิมที่ผู้ชุมนุมเคยเรียกร้องราคายางพาราที่กิโลกรัมละ 100 บาท แต่เป็นการหารือถึงค่าชดเชยที่รัฐบาลจะมอบให้เกษตรกร 2,520 บาทต่อไร่ ไม่เกินรายละ 25 ไร่ โดยผู้ชุมนุมขอให้รัฐบาลชดเชยให้กับเกษตรกรที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ด้วย ขณะที่ผู้ว่าราชการ จ.ประจวบคีรีขันธ์ได้ขอให้เกษตรกรส่งตัวแทนเข้าร่วมในคณะอนุกรรมการ และขอเวลา 30 วัน ว่าจะให้ค่าชดเชยกับกลุ่มที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตามหลังกลับไปที่ชุมนุม ทางแกนนำเรียกร้องให้รัฐบาลให้คำตอบภายในเวลา 18.00 น. ของวันนี้ (29 ต.ค.) เท่านั้น
ส่วนสถานการ์เช้าวันนี้ (29/10/56) ผู้ที่เดินทางขึ้นลงเส้นทางภาคใต้ ยังคงต้องใช้เส้นทางเลี่ยงถนนเพชรเกษม โดยใช้ถนนเลียบชายทะเล มุ่งหน้าสู่ อ.ปะทิว จ.ชุมพร เป็นเส้นทางหลัก เนื่องจากผู้ชุมนุมยังคงใช้ต้นไม้กีดขวางเส้นทางจราจรในบริเวณพื้นที่ชุมนุม ซึ่งผู้ชุมนุมยืนยันว่า จะยังไม่เปิดเส้นทางจราจรจนกว่าจะได้คำตอบที่ชัดเจนจากรัฐบาล ซึ่งมีกำหนดเวลาถึงเวลา 18.00 น. ของวันนี้ (29/10/56) ก่อนจะกำหนดท่าทีต่อไปว่า หากไม่ได้รับการตอบรับจะมีมาตรการอย่างไรต่อไป
ทั้งนี้ในขั้นตอนของการเจรจา แกนนำกล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องราคากิโลกรัมละ 100 บาท ในตอนนี้ทางเกษตรกรผู้ปลูกยางพารายอมที่จะเข้าใจแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังมองว่ายังมีความเหลื่อมล้ำในการให้ความช่วยเหลืออยู่ โดยเฉพาะประเด็นของพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งที่ผ่านมาเขามองว่า พื้นที่เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราที่ไม่เอกสารสิทธิ์มีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีถึงประมาณร้อยละ 90 ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ แต่ว่ามีการเข้าทำกินในพื้นที่นี้มานานหลายสิบปีแล้ว และถูกเก็บภาษีค่าน้ำยางมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นเมื่อได้รับความช่วยเหลือก็ต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึงด้วย
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งคือ กลุ่มผู้มีอาชีพรับจ้างกรีดยาง หากความช่วยเหลือไม่ครอบคลุมไปถึงผู้ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ผู้รับจ้างกรีดยางก็จะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ 2,520 บาทต่อไร่ด้วย แต่เงินจำนวนดังกล่าวจะตกไปเป็นของเจ้าของที่ดินที่เป็นเจ้าของเอกสารสิทธิ์แทน
