นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (กกธ.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการ ธปท. ซึ่งถือเป็นครั้งสุดท้ายในการทำหน้าที่ ก่อนจะหมดวาระการเป็นประธานในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ โดยระบุว่า ในการประชุมครั้งสุดท้ายนี้ไม่ได้ฝากการบ้านอะไรเป็นพิเศษ แต่ในส่วนของแผนการดูแลแก้ไขผลขาดทุนของ ธปท.นั้น ให้ดำเนินการกันต่อไปจนสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตัวเลขขาดทุนของ ธปท.ไตรมาสล่าสุดจะลดลงแล้ว 1.2 แสนล้านบาท เหลือ 6.8 แสนล้านบาท จากยอดทุนติดลบสูงสุดที่ 8 แสนล้านบาท แต่ก็ยังไม่น่าพอใจ เพราะไม่ควรขาดทุนสูง แต่หากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าขึ้นเช่นในขณะนี้ จะมีผลดีทำให้ผลขาดทุนของ ธปท.ลดลงได้ ซึ่งเบื้องต้นมองว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงต่อไปยังคงแข็งค่าได้ต่อเนื่อง
นอกจากนี้ นายวีรพงษ์ ได้แสดงความเป็นห่วงต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย ที่เห็นแนวโน้มชัดเจนในครึ่งปีหลัง เพราะการส่งออกที่ชะลอตัวลงมาก ภาคการผลิตชะลอตัวชัดเจน ขณะที่การลงทุนโครงการของภาครัฐยังมีปัญหาติดขัดในด้านเทคนิคและกฎหมาย ซึ่งอาจต้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการให้เกิดการลงทุนโดยเร็ว เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำของประเทศ 3.5 แสนล้านบาท โดยอยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการทำประชาพิจารณ์ให้สอดคล้องกับกฎหมาย
ทั้งนี้ คาดว่าเม็ดเงินลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของรัฐ คงไม่สามารถเบิกจ่ายใช้ได้ในปีนี้ อย่างเร็วคงจะต้นปีหน้า ดังนั้น เท่าที่เห็นเศรษฐกิจครึ่งปีหลังของปีนี้น่าจะตกลงชัดเจน แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ จะประคองเศรษฐกิจอย่างไร เพราะขณะนี้ยังไม่เห็นแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจองรัฐบาลอย่างชัดเจน ว่าจะดำเนินการเพิ่มเติมอย่างไร
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตัวเลขขาดทุนของ ธปท.ไตรมาสล่าสุดจะลดลงแล้ว 1.2 แสนล้านบาท เหลือ 6.8 แสนล้านบาท จากยอดทุนติดลบสูงสุดที่ 8 แสนล้านบาท แต่ก็ยังไม่น่าพอใจ เพราะไม่ควรขาดทุนสูง แต่หากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าขึ้นเช่นในขณะนี้ จะมีผลดีทำให้ผลขาดทุนของ ธปท.ลดลงได้ ซึ่งเบื้องต้นมองว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงต่อไปยังคงแข็งค่าได้ต่อเนื่อง
นอกจากนี้ นายวีรพงษ์ ได้แสดงความเป็นห่วงต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย ที่เห็นแนวโน้มชัดเจนในครึ่งปีหลัง เพราะการส่งออกที่ชะลอตัวลงมาก ภาคการผลิตชะลอตัวชัดเจน ขณะที่การลงทุนโครงการของภาครัฐยังมีปัญหาติดขัดในด้านเทคนิคและกฎหมาย ซึ่งอาจต้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการให้เกิดการลงทุนโดยเร็ว เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำของประเทศ 3.5 แสนล้านบาท โดยอยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการทำประชาพิจารณ์ให้สอดคล้องกับกฎหมาย
ทั้งนี้ คาดว่าเม็ดเงินลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของรัฐ คงไม่สามารถเบิกจ่ายใช้ได้ในปีนี้ อย่างเร็วคงจะต้นปีหน้า ดังนั้น เท่าที่เห็นเศรษฐกิจครึ่งปีหลังของปีนี้น่าจะตกลงชัดเจน แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ จะประคองเศรษฐกิจอย่างไร เพราะขณะนี้ยังไม่เห็นแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจองรัฐบาลอย่างชัดเจน ว่าจะดำเนินการเพิ่มเติมอย่างไร