นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ได้ตั้งคณะกรรมการกำหนดระบบการบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ยาคุณภาพดี ราคาถูก เหมาะสมกับโรค ให้เกิดความคุ้มค่าและเป็นมาตรฐานเดียวกัน
โดยเน้น 6 ยุทธศาสตร์หลัก ประกอบด้วย การเจรจาต่อรองราคายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ได้แก่ กลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาโรคหัวใจและหลอดเลือด ยาลดน้ำตาลในเลือด ยาปฏิชีวนะ ส่งเสริมให้โรงพยาบาลรัฐ ใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ จากร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 80 กำหนดแนวเวชปฏิบัติข้อบ่งชี้การใช้ยา การตรวจรักษา พัฒนาระบบตรวจรักษา วินิจฉัย การใช้ยา เบิกจ่ายเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกกองทุนพัฒนาบัญชียา และรหัสยามาตรฐาน เชื่อมโยงระบบข้อมูลยาของ 3 กองทุนสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ และปรับปรุงกลไกการทำงาน การจ่ายเงิน โดยใช้เกณฑ์วินิจฉัยโรคร่วมในกลุ่มโรคเดียวกันให้เป็นมาตรฐานทุกโรงพยาบาล
นอกจากนี้ ยังให้เร่งหามาตรการดูแลค่าใช้จ่ายด้านยาของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เพื่อให้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีสัดส่วนค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก ถึงร้อยละ 73 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด และจำนวนนี้เป็นค่ายาถึงร้อยละ 83 คาดว่าหากส่งเสริมให้โรงพยาบาลรัฐใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติเพิ่มขึ้น จะช่วยประหยัดงบประมาณได้กว่า 5,000 ล้านบาท
โดยเน้น 6 ยุทธศาสตร์หลัก ประกอบด้วย การเจรจาต่อรองราคายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ได้แก่ กลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาโรคหัวใจและหลอดเลือด ยาลดน้ำตาลในเลือด ยาปฏิชีวนะ ส่งเสริมให้โรงพยาบาลรัฐ ใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ จากร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 80 กำหนดแนวเวชปฏิบัติข้อบ่งชี้การใช้ยา การตรวจรักษา พัฒนาระบบตรวจรักษา วินิจฉัย การใช้ยา เบิกจ่ายเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกกองทุนพัฒนาบัญชียา และรหัสยามาตรฐาน เชื่อมโยงระบบข้อมูลยาของ 3 กองทุนสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ และปรับปรุงกลไกการทำงาน การจ่ายเงิน โดยใช้เกณฑ์วินิจฉัยโรคร่วมในกลุ่มโรคเดียวกันให้เป็นมาตรฐานทุกโรงพยาบาล
นอกจากนี้ ยังให้เร่งหามาตรการดูแลค่าใช้จ่ายด้านยาของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เพื่อให้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีสัดส่วนค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก ถึงร้อยละ 73 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด และจำนวนนี้เป็นค่ายาถึงร้อยละ 83 คาดว่าหากส่งเสริมให้โรงพยาบาลรัฐใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติเพิ่มขึ้น จะช่วยประหยัดงบประมาณได้กว่า 5,000 ล้านบาท