พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ก่อนที่ทางดีเอสไอจะเสนอคดีการหายไปของยาแก้หวัดที่มีสารซูโดอีเฟดรีน สารตั้งต้นผลิตยาเสพติดอยู่ ในวันที่ 26 มีนาคม นั้น ความคืบหน้าในการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐาน ถือว่าได้มากพอสมควร โดยเฉพาะกรณี โรงพยาบาลสันกำแพง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโมเดลที่ชัดเจนใน 3 ส่วน คือ ส่วนแรก เรื่องการตรวจสอบการทุจริตการสั่งซื้อยามา และนำออกนอกระบบของโรงพยาบาล ส่วนที่ 2 คือ การสืบค้นว่าการรวมยาทั้งหมดไปอยู่ที่ไหนบ้าง และส่วนที่ 3 คือ ตรวจสอบว่ายาที่หายไปได้ตกไปอยู่กับขบวนการผลิตยาเสพติดจริงหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดเชื่อมโยงกัน และมีลักษณะคล้ายกันในทุกโรงพยาบาลที่ตรวจสอบพบ สรุปว่า ทางดีเอสไอ ได้จิ๊กซอว์สำคัญมากพอสมควรแล้ว ส่วนล่าสุด ยาแก้หวัดดังกล่าวพบว่าหายจากระบบแล้วประมาณ 45 ล้านเม็ด ซึ่งคาดว่าจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ตามที่ทางกระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลมา
นอกจากนี้ ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคงดีเอสไอ กล่าวอีกว่า จากนี้ไปดีเอสไอจะลงไปตรวจสอบโรงงานผลิตยาแก้หวัดเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตในเมืองไทย ว่ามีส่วนที่เล็ดลอดออกจากระบบ นอกเหนือจากที่ขายให้โรงพยาบาลหรือไม่ และจะลงลึกตรวจสอบบัญชี การเงิน ของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ว่ามีความผิดปกติ หรือร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ด้วย ซึ่งเป็นอำนาจตามกฎหมายที่สามารถทำได้อยู่แล้ว
นอกจากนี้ ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคงดีเอสไอ กล่าวอีกว่า จากนี้ไปดีเอสไอจะลงไปตรวจสอบโรงงานผลิตยาแก้หวัดเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตในเมืองไทย ว่ามีส่วนที่เล็ดลอดออกจากระบบ นอกเหนือจากที่ขายให้โรงพยาบาลหรือไม่ และจะลงลึกตรวจสอบบัญชี การเงิน ของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ว่ามีความผิดปกติ หรือร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ด้วย ซึ่งเป็นอำนาจตามกฎหมายที่สามารถทำได้อยู่แล้ว