นิด้าโพลได้ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชน จำนวน 1,258 ตัวอย่างทั่วประเทศ โดยกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 58.82 ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่จะเปิดห้องเรียนสำหรับนักเรียนที่ผู้ปกครองบริจาคเงินกับโรงเรียน เพราะเห็นว่าเป็นการปิดกั้นนักเรียนที่เรียนเก่ง ร้อยละ 38.24 เห็นด้วย เพราะปัจจุบันมีการทำแบบนี้อยู่แล้ว และร้อยละ 2.94 ยังไม่ทราบและไม่แน่ใจ
ด้านความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อนโยบายดังกล่าว ร้อยละ 48.81 เห็นว่าเป็นการปิดกั้นความสามารถของเด็กที่ขาดทุนทรัพย์ และร้อยละ 26.15 เห็นว่า เป็นการตอกย้ำความเหลื่อมล้ำทางสังคมมากยิ่งขึ้น แต่บางคนเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ในปัจจุบันทำเป็นปกติ ร้อยละ 21.94
ส่วนนโยบายนี้ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับความเสมอภาคทางการศึกษาหรือไม่นั้น ร้อยละ 56.04 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการปิดกั้นความสามารถทางการศึกษา สร้างความเหลื่อมล้ำมากกว่าเดิม อีกร้อยละ 24.01 เห็นว่า ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะสังคมปัจจุบันเป็นแบบนี้ และร้อยละ 19.95 ไม่ทราบและไม่แน่ใจ
นโยบายดังกล่าวเป็นการสร้างค่านิยมให้กับเยาวชน ในการใช้เงินแลกกับความต้องการ และความก้าวหน้าในหน้าที่การงานในอนาคตหรือไม่ ร้อยละ 71.30 ระบุว่าใช่ เพราะเป็นการปลูกฝังค่านิยมผิดทั้งคุณธรรมและจริยธรรมที่ไม่ถูกต้องแก่เยาวชน มีเพียงร้อยละ 18.52 เท่านั้นที่เห็นว่า ไม่ใช่ เพราะขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคลว่าจะยอมรับการใช้เงินเพื่อแลกกับความต้องการในรูปแบบใดมากกว่า
ด้านความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อนโยบายดังกล่าว ร้อยละ 48.81 เห็นว่าเป็นการปิดกั้นความสามารถของเด็กที่ขาดทุนทรัพย์ และร้อยละ 26.15 เห็นว่า เป็นการตอกย้ำความเหลื่อมล้ำทางสังคมมากยิ่งขึ้น แต่บางคนเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ในปัจจุบันทำเป็นปกติ ร้อยละ 21.94
ส่วนนโยบายนี้ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับความเสมอภาคทางการศึกษาหรือไม่นั้น ร้อยละ 56.04 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการปิดกั้นความสามารถทางการศึกษา สร้างความเหลื่อมล้ำมากกว่าเดิม อีกร้อยละ 24.01 เห็นว่า ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะสังคมปัจจุบันเป็นแบบนี้ และร้อยละ 19.95 ไม่ทราบและไม่แน่ใจ
นโยบายดังกล่าวเป็นการสร้างค่านิยมให้กับเยาวชน ในการใช้เงินแลกกับความต้องการ และความก้าวหน้าในหน้าที่การงานในอนาคตหรือไม่ ร้อยละ 71.30 ระบุว่าใช่ เพราะเป็นการปลูกฝังค่านิยมผิดทั้งคุณธรรมและจริยธรรมที่ไม่ถูกต้องแก่เยาวชน มีเพียงร้อยละ 18.52 เท่านั้นที่เห็นว่า ไม่ใช่ เพราะขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคลว่าจะยอมรับการใช้เงินเพื่อแลกกับความต้องการในรูปแบบใดมากกว่า
