นายวุฒิชัย ดวงรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวภายหลังเปิดงานสัมนา ปฏิบัติการเชิงรุกเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการไทย พิชิตตลาดจีนและเวียดนาม ว่า ขณะนี้ผู้บริโภคในตลาดจีนและเวียดนาม มีอำนาจการซื้อเพิ่มขึ้น และต้องการสินค้าแปลกใหม่ที่มีคุณภาพ ซึ่งผู้ประกอบการไทยมีโอกาสที่จะเข้าไปทำตลาดได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกโดยตรงเพียงร้อยละ 30 ของมูลค่าการส่งออกทั้งประเทศ จำนวน 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่ามีสัดส่วนค่อนข้างน้อย กรมส่งเสริมการส่งออก จึงพยายามผลักดันให้กลุ่มเอสเอ็มอีขยายตลาดสู่จีนและเวียดนาม เพื่อเพิ่มสัดส่วนมูลค่าการส่งออกให้ได้ร้อยละ 50 เนื่องจากกลุ่มเอสเอ็มอีมีบทบาทสำคัญในการก่อให้เกิดการจ้างงานโดยรวมของประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นการลดการพึ่งพาตลาดในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังมีปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยได้เชิญทูตพาณิชย์มาให้ข้อมูลความรู้แก่ผู้ประกอบการส่งออกเอสเอ็มอี เพื่อเตรียมความพร้อมด้านการตลาดเชิงรุก พร้อมกับสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการด้วย
รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ยังกล่าวถึงกรณีที่ประเทศไทยถูกจับตามองจากคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน หรือ FATF ว่า แม้จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยบ้าง แต่มั่นใจว่าในภาพรวมจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกสินค้าไทยไปต่างประเทศ เนื่องจากการทำการค้าของไทยเป็นไปตามระบบสากลและมีมาตรการกำกับดูแลจากธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นไปได้ยากที่จะมีการฟอกเงินในกระบวนการส่งออกสินค้า อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ดำเนินการชี้แจงกับประเทศคู่ค้าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการส่งออกของไทย
รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ยังกล่าวถึงกรณีที่ประเทศไทยถูกจับตามองจากคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน หรือ FATF ว่า แม้จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยบ้าง แต่มั่นใจว่าในภาพรวมจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกสินค้าไทยไปต่างประเทศ เนื่องจากการทำการค้าของไทยเป็นไปตามระบบสากลและมีมาตรการกำกับดูแลจากธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นไปได้ยากที่จะมีการฟอกเงินในกระบวนการส่งออกสินค้า อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ดำเนินการชี้แจงกับประเทศคู่ค้าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการส่งออกของไทย