นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกันระหว่าง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งสมาคมธนาคารไทย มีข้อสรุปเรื่องการจัดเก็บค่าธรรมเนียมเงินนำส่งจากฐานเงินฝาก เพื่อชำระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF)
โดยอัตราเรียกเก็บเงินนำส่งจากธนาคารพาณิชย์เอกชน รวม 0.4% ของฐานเงินฝาก แบ่งเป็น 0.46% ของฐานเงินรับจากประชาชน ซึ่งเป็นเงินฝากรวมกับตั๋วแลกเงิน (BE) และหุ้นกู้แต่ไม่รวมหุ้นกู้ด้อยสิทธิ และส่งเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝาก 0.01% ของฐานเงินฝาก
ทั้งนี้จะมีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาประเทศ เพื่อสำรองในยามที่ ธปท.ไม่สามารถชำระหนี้ได้ รวมทั้งมีการเรียกเก็บเงินนำส่งจากธนาคารของรัฐด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเท่าเทียมในการแข่งขันระหว่างธนาคารมากยิ่งขึ้น
ส่วนระยะเวลาการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว อยู่ที่ 24 ปี คาดว่าฐานเงินฝากอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านล้านบาท และสามารถจัดเก็บเงินนำส่งได้กว่า 4 หมื่นล้านบาท มั่นใจว่าสามารถชำระหนี้กองทุนฯ ได้แน่นอน
โดยอัตราเรียกเก็บเงินนำส่งจากธนาคารพาณิชย์เอกชน รวม 0.4% ของฐานเงินฝาก แบ่งเป็น 0.46% ของฐานเงินรับจากประชาชน ซึ่งเป็นเงินฝากรวมกับตั๋วแลกเงิน (BE) และหุ้นกู้แต่ไม่รวมหุ้นกู้ด้อยสิทธิ และส่งเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝาก 0.01% ของฐานเงินฝาก
ทั้งนี้จะมีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาประเทศ เพื่อสำรองในยามที่ ธปท.ไม่สามารถชำระหนี้ได้ รวมทั้งมีการเรียกเก็บเงินนำส่งจากธนาคารของรัฐด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเท่าเทียมในการแข่งขันระหว่างธนาคารมากยิ่งขึ้น
ส่วนระยะเวลาการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว อยู่ที่ 24 ปี คาดว่าฐานเงินฝากอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านล้านบาท และสามารถจัดเก็บเงินนำส่งได้กว่า 4 หมื่นล้านบาท มั่นใจว่าสามารถชำระหนี้กองทุนฯ ได้แน่นอน
