นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงการเสนอรัฐบาลชุดใหม่ ตั้งคณะศึกษาปรับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท โดยนำมาประกอบในแผนการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมถึงความเป็นไปได้ของอุตสาหกรรมสาขาต่างๆ ซึ่งต้องเดินหน้าพร้อมกับการเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน
โดยจากการพิจารณาฐานข้อมูลอุตสาหกรรม พบว่า นโยบายนี้กระทบธุรกิจ SMEs ไม่มากนัก แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ อุตสาหกรรมขนาดกลางที่ใช้แรงงานเป็นหลัก เพราะต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มเป็นสัดส่วนที่สูง เมื่อเทียบกับรายได้ ต่างจากกิจการขนาดใหญ่ที่มีกำไรมาก ขณะที่กิจการขนาดเล็ก ส่วนใหญ่ใช้แรงงานน้อย กระทรวงอุตสาหกรรมจึงทำผลกระทบ และข้อเสนอวิธีขึ้นค่าแรงใน 3 แนวทาง คือ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งขัดแย้งกับการสนับสนุนให้ตั้งโรงงานในภูมิภาค ซึ่งเดินหน้ามานานนับ 10 ปี เพื่อกระจายรายได้ ทางเลือกที่ 2 คือ ให้ขึ้นค่าแรง 300 บาท เฉพาะจังหวัดที่มีศักยภาพ ซึ่งจะทำให้เกิดแรงงานไหลสู่จังหวัดที่ปรับขึ้นค่าแรง และทางเลือกที่ 3 ให้จัดทำเกณฑ์มาตรฐานฝีมือรายโรงงาน เช่น ต้องได้ผลผลิต 100 ชิ้นต่อวัน จึงจะสามารถรับค่าแรงตามอัตราใหม่ เพื่อพัฒนาแรงงานพร้อมกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่สัปดาห์หน้า กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมสรุปโครงการเร่งด่วน พร้อมพิจารณาโครงการและแผนที่มีอยู่ให้สอดคล้องแนวทางรัฐบาลใหม่ เช่น แผนส่งเสริมนักลงทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศ การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ โครงการลงทุนเหล็กขั้นต้นคุณภาพสูง การบริหารจัดการพื้นที่เหมืองแร่เชิงรุก และการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ส่วนแผนและยุทธศาสตร์การลงทุนในระยะ 5 ปี ข้างหน้ายังมุ่งเน้นสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ยุโรป และคาดว่า เม็ดเงินลงทุนในปีนี้ จะอยู่ที่ 400,000 - 500,000 ล้านบาท
โดยจากการพิจารณาฐานข้อมูลอุตสาหกรรม พบว่า นโยบายนี้กระทบธุรกิจ SMEs ไม่มากนัก แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ อุตสาหกรรมขนาดกลางที่ใช้แรงงานเป็นหลัก เพราะต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มเป็นสัดส่วนที่สูง เมื่อเทียบกับรายได้ ต่างจากกิจการขนาดใหญ่ที่มีกำไรมาก ขณะที่กิจการขนาดเล็ก ส่วนใหญ่ใช้แรงงานน้อย กระทรวงอุตสาหกรรมจึงทำผลกระทบ และข้อเสนอวิธีขึ้นค่าแรงใน 3 แนวทาง คือ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งขัดแย้งกับการสนับสนุนให้ตั้งโรงงานในภูมิภาค ซึ่งเดินหน้ามานานนับ 10 ปี เพื่อกระจายรายได้ ทางเลือกที่ 2 คือ ให้ขึ้นค่าแรง 300 บาท เฉพาะจังหวัดที่มีศักยภาพ ซึ่งจะทำให้เกิดแรงงานไหลสู่จังหวัดที่ปรับขึ้นค่าแรง และทางเลือกที่ 3 ให้จัดทำเกณฑ์มาตรฐานฝีมือรายโรงงาน เช่น ต้องได้ผลผลิต 100 ชิ้นต่อวัน จึงจะสามารถรับค่าแรงตามอัตราใหม่ เพื่อพัฒนาแรงงานพร้อมกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่สัปดาห์หน้า กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมสรุปโครงการเร่งด่วน พร้อมพิจารณาโครงการและแผนที่มีอยู่ให้สอดคล้องแนวทางรัฐบาลใหม่ เช่น แผนส่งเสริมนักลงทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศ การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ โครงการลงทุนเหล็กขั้นต้นคุณภาพสูง การบริหารจัดการพื้นที่เหมืองแร่เชิงรุก และการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ส่วนแผนและยุทธศาสตร์การลงทุนในระยะ 5 ปี ข้างหน้ายังมุ่งเน้นสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ยุโรป และคาดว่า เม็ดเงินลงทุนในปีนี้ จะอยู่ที่ 400,000 - 500,000 ล้านบาท