น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ผู้นำด้านแรงงาน กล่าวว่า ผู้ที่จะมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ต้องเข้าใจคนรากหญ้าอย่างดี กล้าตัดสินใจ ซื่อสัตย์ เพราะกระทรวงแรงงานต้องดูแลผู้ใช้แรงงานมากถึง 30 ล้านคน รวมทั้งมีกองทุนประกันสังคม ที่มีเม็ดเงินหลักแสนล้านบาทที่ต้องรับผิดชอบ และสิ่งสำคัญ คือต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ในช่วงหาเสียง โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาท ต้องทำเป็นสิ่งแรก
ขณะที่ รศ.แล ดิลกวิทยรัตน์ นักวิชาการด้านแรงงานสัมพันธ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า รัฐมนตรีฯ แรงงานควรเป็นผู้รับฟังที่ดี คิดแบบคนคนเป็น ไม่ควรนำนักวิชาการ หรือนักธุรกิจมาบริหาร และสิ่งแรกที่ต้องทำ คือการหาแนวทางมาจูงใจให้นายจ้างปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำให้ได้ถึงวันละ 300 บาท
ขณะที่นายยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยการพัฒนาแรงงาน ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า หากปรับเงินค่าจ้างในคราวเดียวที่ 300 บาท เท่ากันทั่วประเทศ จะส่งผลต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ธุรกิจล้มละลาย เกิดการเลิกจ้าง ต่างชาติไม่กล้าเข้ามาลงทุน และเกิดปัญหาอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งรัฐบาลใหม่ควรใช้วิธีปรับโครงสร้างค่าจ้างทั้งระบบ โดยไล่เรียงมาจากค่าจ้างขั้นต่ำ ไปสู่ค่าจ้างแรกเข้า และค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือจะดีกว่า
ขณะที่ รศ.แล ดิลกวิทยรัตน์ นักวิชาการด้านแรงงานสัมพันธ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า รัฐมนตรีฯ แรงงานควรเป็นผู้รับฟังที่ดี คิดแบบคนคนเป็น ไม่ควรนำนักวิชาการ หรือนักธุรกิจมาบริหาร และสิ่งแรกที่ต้องทำ คือการหาแนวทางมาจูงใจให้นายจ้างปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำให้ได้ถึงวันละ 300 บาท
ขณะที่นายยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยการพัฒนาแรงงาน ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า หากปรับเงินค่าจ้างในคราวเดียวที่ 300 บาท เท่ากันทั่วประเทศ จะส่งผลต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ธุรกิจล้มละลาย เกิดการเลิกจ้าง ต่างชาติไม่กล้าเข้ามาลงทุน และเกิดปัญหาอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งรัฐบาลใหม่ควรใช้วิธีปรับโครงสร้างค่าจ้างทั้งระบบ โดยไล่เรียงมาจากค่าจ้างขั้นต่ำ ไปสู่ค่าจ้างแรกเข้า และค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือจะดีกว่า
