น.พ.ปรีดา แต้อารักษ์ โฆษกสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช.กล่าวถึงกรณีผู้ป่วย สปสช.ไม่สามารถไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนได้ว่า เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ปัจจุบันมีหน่วยบริการเอกชนเข้าร่วมโครงการกับ สปสช. 264 แห่ง เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่รับส่งต่อ 84 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ ขณะนี้ผู้ป่วยในโครงการสามารถใช้บริการโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต รวมถึงโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงอื่น ทั้งนี้ สปสช. ได้กันเงินให้ประชาชนในโครงการประมาณปีละ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการดูแลประชาชน
ส่วนกรณีผู้มีสิทธิในหลักประกันสุขภาพ เมื่อเกิดการเจ็บป่วยฉุกเฉิน น.พ.ปรีดา กล่าวว่า ประชาชนสามารถเข้ารับบริการได้ที่หน่วยบริการ และสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ นอกจากนี้ หากเกิดเหตุฉุกเฉินใกล้สถานพยาบาลเอกชน สามารถเข้ารับบริการได้เช่นกัน หากสถานพยาบาลเอกชน ยินดีรับค่าใช้จ่ายในส่วนที่เป็นไปตามเกณฑ์ของ สปสช.
ปัจจุบันมีหน่วยบริการเอกชนเข้าร่วมโครงการกับ สปสช. 264 แห่ง เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่รับส่งต่อ 84 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ ขณะนี้ผู้ป่วยในโครงการสามารถใช้บริการโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต รวมถึงโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงอื่น ทั้งนี้ สปสช. ได้กันเงินให้ประชาชนในโครงการประมาณปีละ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการดูแลประชาชน
ส่วนกรณีผู้มีสิทธิในหลักประกันสุขภาพ เมื่อเกิดการเจ็บป่วยฉุกเฉิน น.พ.ปรีดา กล่าวว่า ประชาชนสามารถเข้ารับบริการได้ที่หน่วยบริการ และสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ นอกจากนี้ หากเกิดเหตุฉุกเฉินใกล้สถานพยาบาลเอกชน สามารถเข้ารับบริการได้เช่นกัน หากสถานพยาบาลเอกชน ยินดีรับค่าใช้จ่ายในส่วนที่เป็นไปตามเกณฑ์ของ สปสช.