นางศิริพร สะโครบาเนค ประธานมูลนิธิผู้หญิง มองว่า การที่ประเทศไทยลงนามในอนุสัญญาผู้หญิง และรับรองแผนปฏิบัติการเพื่อความก้าวหน้าของสตรี และประเทศแรกในอาเซียนที่ไทยได้เข้าเป็น สำหรับภาคีของพิธีสารแรกรับของอนุสัญญาขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านบวกหลายด้าน โดยเฉพาะด้านกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ให้สิทธิหญิง ชายเท่าเทียมกันในเรื่องการหย่าและการหมั้น แต่เมื่อมองถึงเจตคติดั้งเดิมเรื่องความเสมอภาคระหว่างเพศ ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ขณะที่นายวีระศักดิ์ เกิดแสง ผู้อำนวยการส่งเสริมสถานภาพสตรี เห็นว่า ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการทำงานเชิงรุกที่เน้นการปฏิบัติเพื่อเกิดผลอย่างแท้จริง มากกว่าการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในโอกาสต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนงานด้านสตรี จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยภาครัฐเป็นหน่วยงานหลักในการวางนโยบายและงบประมาณ ภาคเอกชนให้การสนับสนุน และภาคประชาสังคม คอยตรวจสอบและประเมินผล เพื่อสร้างคุณภาพที่ดีให้กับสตรี ตามเจตนารมณ์ที่ประเทศไทยได้ลงนามไว้ในอนุสัญญาขจัดการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบต่อสตรี เมื่อปี 2528
ขณะที่นายวีระศักดิ์ เกิดแสง ผู้อำนวยการส่งเสริมสถานภาพสตรี เห็นว่า ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการทำงานเชิงรุกที่เน้นการปฏิบัติเพื่อเกิดผลอย่างแท้จริง มากกว่าการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในโอกาสต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนงานด้านสตรี จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยภาครัฐเป็นหน่วยงานหลักในการวางนโยบายและงบประมาณ ภาคเอกชนให้การสนับสนุน และภาคประชาสังคม คอยตรวจสอบและประเมินผล เพื่อสร้างคุณภาพที่ดีให้กับสตรี ตามเจตนารมณ์ที่ประเทศไทยได้ลงนามไว้ในอนุสัญญาขจัดการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบต่อสตรี เมื่อปี 2528
