นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายยูกิโอะ ฮาโตยามา นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ใช้เวลาหารือประมาณ 30 นาที
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้แสดงความยินดีต่อพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และได้เน้นให้เห็นถึงความใกล้ชิดของพระราชวงศ์ญี่ปุ่นและไทย และแสดงความสนับสนุน ยินดีต่อการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และพูดถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างญี่ปุ่นและไทยที่มีมาตลอด ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ส่วนการหารือก็ได้พูดถึงความร่วมมือด้านการประชุมประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ที่ญี่ปุ่นในวันที่ 3-4 พฤศจิกายน โดยนายกรัฐมนตรี ยืนยัน จะเข้าร่วมประชุม และการขยายความสัมพันธ์ด้านขยายการค้าตามข้อตกลง J-TEPA ระหว่างไทย ญี่ปุ่น พร้อมกับการส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยน ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ เสนอแนวคิดให้มีความร่วมมือระหว่างนักการเมือง ทั้งสองประเทศ โดยมีแนวคิดที่จะให้นักการเมืองทั้งสองประเทศพบปะกันมากขึ้น มีการประสานงานมากขึ้น เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนักการเมืองไทย โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ของไทยและญี่ปุ่นที่มีมากว่า 10 ปี นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดี ที่จะขยายความร่วมมือไปยังพรรคการเมืองอื่นๆด้วย โดยจะให้ฝ่ายญี่ปุ่นประสานงานในการจัดนัดพบ อาจจะมีการตั้งชมรมหรือสมาคม ของนักการเมืองในการประสานกันมากขึ้น และสอดรับกับที่ได้หารือกับสมัชชารัฐสภาอาเซียน ว่าจะผลักดันให้สภาของอาเซียน เร่งรัดออกกฏหมายต่างๆ ที่เร่งรัดความสมันพันธ์ของอาเซียนให้มากขึ้น ซึ่งยังติดค้างในหลายสภาของหลายประเทศ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นขอให้ไทยช่วยดูแลในการส่งเสริมบริษัทธุรกิจญี่ปุ่น ส่วนนายกรัฐมนตรีขอให้นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นดูแลในเรื่องของการนำเข้าอาหารและแรงงานที่จะเดินทางเข้าไปในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงหารือถึงแนวทางในการพัฒนาประเทศในการเป็นประชาคมร่วมกัน
ส่วนภาพรวมการหารือกับสมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซนัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ แห่งบรูไนดารุสซาลาม โดยได้แจ้งให้ทราบสาเหตุที่ไม่สามารถเดินทางเข้าร่วมประชุมได้ เนื่องจากทรงมีพระอาการเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางไกล แต่จะเข้าร่วมประชุมในวาระอื่นๆ
ส่วนการหารือกับผู้นำพม่านั้น เพื่อกระชับความสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกัน โดยนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งว่าจะหาเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางไปเยือนสหภาพพม่า และทั้งสองประเทศจะส่งเสริมการค้าตามแนวชายแดน ให้ดีขึ้น และประเทศไทยมีนโยบายที่จะดูแลแรงงานพม่าให้เป็นระบบมากขึ้น มีการผ่อนผันและลดค่าธรรมเนียม และได้พูดถึงแนวทางการสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติตามแนวทางโรดแมปของพม่า คิดว่าการประชุมในครั้งนี้จะทำให้ประชาคมในอาเซียนเข้มแข็งขึ้น
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้แสดงความยินดีต่อพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และได้เน้นให้เห็นถึงความใกล้ชิดของพระราชวงศ์ญี่ปุ่นและไทย และแสดงความสนับสนุน ยินดีต่อการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และพูดถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างญี่ปุ่นและไทยที่มีมาตลอด ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ส่วนการหารือก็ได้พูดถึงความร่วมมือด้านการประชุมประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ที่ญี่ปุ่นในวันที่ 3-4 พฤศจิกายน โดยนายกรัฐมนตรี ยืนยัน จะเข้าร่วมประชุม และการขยายความสัมพันธ์ด้านขยายการค้าตามข้อตกลง J-TEPA ระหว่างไทย ญี่ปุ่น พร้อมกับการส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยน ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ เสนอแนวคิดให้มีความร่วมมือระหว่างนักการเมือง ทั้งสองประเทศ โดยมีแนวคิดที่จะให้นักการเมืองทั้งสองประเทศพบปะกันมากขึ้น มีการประสานงานมากขึ้น เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนักการเมืองไทย โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ของไทยและญี่ปุ่นที่มีมากว่า 10 ปี นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดี ที่จะขยายความร่วมมือไปยังพรรคการเมืองอื่นๆด้วย โดยจะให้ฝ่ายญี่ปุ่นประสานงานในการจัดนัดพบ อาจจะมีการตั้งชมรมหรือสมาคม ของนักการเมืองในการประสานกันมากขึ้น และสอดรับกับที่ได้หารือกับสมัชชารัฐสภาอาเซียน ว่าจะผลักดันให้สภาของอาเซียน เร่งรัดออกกฏหมายต่างๆ ที่เร่งรัดความสมันพันธ์ของอาเซียนให้มากขึ้น ซึ่งยังติดค้างในหลายสภาของหลายประเทศ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นขอให้ไทยช่วยดูแลในการส่งเสริมบริษัทธุรกิจญี่ปุ่น ส่วนนายกรัฐมนตรีขอให้นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นดูแลในเรื่องของการนำเข้าอาหารและแรงงานที่จะเดินทางเข้าไปในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงหารือถึงแนวทางในการพัฒนาประเทศในการเป็นประชาคมร่วมกัน
ส่วนภาพรวมการหารือกับสมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซนัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ แห่งบรูไนดารุสซาลาม โดยได้แจ้งให้ทราบสาเหตุที่ไม่สามารถเดินทางเข้าร่วมประชุมได้ เนื่องจากทรงมีพระอาการเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางไกล แต่จะเข้าร่วมประชุมในวาระอื่นๆ
ส่วนการหารือกับผู้นำพม่านั้น เพื่อกระชับความสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกัน โดยนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งว่าจะหาเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางไปเยือนสหภาพพม่า และทั้งสองประเทศจะส่งเสริมการค้าตามแนวชายแดน ให้ดีขึ้น และประเทศไทยมีนโยบายที่จะดูแลแรงงานพม่าให้เป็นระบบมากขึ้น มีการผ่อนผันและลดค่าธรรมเนียม และได้พูดถึงแนวทางการสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติตามแนวทางโรดแมปของพม่า คิดว่าการประชุมในครั้งนี้จะทำให้ประชาคมในอาเซียนเข้มแข็งขึ้น
