นายลิขิต ธีรเวคิน ราชบัณฑิต กล่าวถึงกรณีตำรวจออกหมายเรียก นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในคดีที่เกี่ยวข้องกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมปิดสนามบินสุวรรณภูมิ และมีเสียงเรียกร้องให้ นายกษิตแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองด้วยการลาออกนั้น ว่า ทางกฎหมาย นายกษิตยังสามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่อไปได้ จนกว่าศาลพิพากษาให้ต้องโทษ แต่ทางการเมือง นายกษิต ต้องอธิบายให้ชัดเจน เรื่องคำพูดของเขาที่ประกาศไว้ว่า จะลาออก หากมีการแจ้งข้อกล่าวหา ส่วนประเด็นที่นายกษิตเห็นว่า การก่อการร้าย เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงเกินไปนั้น ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายกษิตด้วย หากต้องลาออกไปก่อน และมีคำตัดสินว่า ไม่ผิด
ทั้งนี้ แม้เรื่องดังกล่าวจะเป็นความรับผิดชอบส่วนตัว แต่ภาพรวมของรัฐบาลจากการที่นายกษิตอยู่ต่อ จะกลายเป็นภาระกับรัฐบาลในภาวะที่มีการใช้ความรู้สึกโจมตีทางการเมืองกันมากกว่าการใช้หลักกฎหมาย ที่สำคัญอาจต้องเผชิญปัญหาในการรักษามาตรฐานของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อต้องเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ด้วย
นายลิขิต กล่าวด้วยว่า การก่อร้ายถือเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมาก และเมื่อเทียบกับเหตุการณ์กลุ่ม นปช.บุกโรงแรม ที่ใช้ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่พัทยา ก็อาจจะตั้งข้อหาเดียวกันนี้ได้ แต่ทั้ง 2 เหตุการณ์ ไม่เห็นเจตนาของการก่อการร้าย อย่างการก่อวินาศกรรม ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายทางการเมือง จึงควรเป็นเพียงข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการทำให้เสียทรัพย์ หรือก่อการจลาจลเท่านั้น
ทั้งนี้ แม้เรื่องดังกล่าวจะเป็นความรับผิดชอบส่วนตัว แต่ภาพรวมของรัฐบาลจากการที่นายกษิตอยู่ต่อ จะกลายเป็นภาระกับรัฐบาลในภาวะที่มีการใช้ความรู้สึกโจมตีทางการเมืองกันมากกว่าการใช้หลักกฎหมาย ที่สำคัญอาจต้องเผชิญปัญหาในการรักษามาตรฐานของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อต้องเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ด้วย
นายลิขิต กล่าวด้วยว่า การก่อร้ายถือเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมาก และเมื่อเทียบกับเหตุการณ์กลุ่ม นปช.บุกโรงแรม ที่ใช้ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่พัทยา ก็อาจจะตั้งข้อหาเดียวกันนี้ได้ แต่ทั้ง 2 เหตุการณ์ ไม่เห็นเจตนาของการก่อการร้าย อย่างการก่อวินาศกรรม ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายทางการเมือง จึงควรเป็นเพียงข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการทำให้เสียทรัพย์ หรือก่อการจลาจลเท่านั้น
