นายอนันต์ ภู่สิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานปฏิรูปที่ดิน หรือ ส.ป.ก. กล่าวว่า ขณะนี้ได้พัฒนาโครงการทุ่งกังหันลม ในพื้นที่นำร่อง 3 จังหวัด คือ นครราชสีมา กาฬสินธุ์ และร้อยเอ็ด โดยโครงการดังกล่าวถือเป็นการใช้ประโยชน์ของทรัพยากรในเขตปฏิรูปที่ดิน ได้ตรงตามศักยภาพของพื้นที่ และยังเป็นกระบวนการผลิตที่ไม่มีการปล่อยมลภาวะทางอากาศ และของเสียลงสู่แหล่งน้ำ อีกทั้งไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม
ทั้งนี้ จากการศึกษาและตรวจสอบความเป็นไปได้ เพื่อพัฒนาพื้นที่ ส.ป.ก. ให้กลายเป็นทุ่งกังหันลม พบว่า พื้นที่ใน 3 จังหวัด มีศักยภาพผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ 1,436 ล้านหน่วยต่อปี สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ปีละกว่า 800,000 ตัน หรือลดค่าใช้จ่ายให้ประเทศได้ 400 ล้านบาทต่อปี นับเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศระดับหนึ่ง
การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมนี้ นอกจากจะได้พลังงานสีเขียว หรือพลังงานที่สะอาดแล้ว ยังเป็นการช่วยลดภาวะโลกร้อน และปกป้องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก
สำหรับเสากังหันลม 1 ต้น สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 2,000 กิโลวัตต์ จ่ายไฟฟ้าให้ประชาชนได้ประมาณ 1,400 หลังคาเรือนต่อปี คาดว่าแต่ละโครงการจะติดตั้งเสากังหันลม ประมาณ 45 ต้น ผลิตไฟฟ้าได้ 90 เมกะวัตต์ ซึ่งหากผ่านขั้นตอนต่างๆ ทางราชการได้ คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในระยะเวลา 1 ปี และสามารถผลิตไฟฟ้า ทั้งหมด 360 เมกะวัตต์ ในเขตปฏิรูปที่ดิน
นอกจากนี้ยังคาดว่า ในอนาคตจะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงได้อีกแหล่งหนึ่ง และยังสามารถช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรในพื้นที่ รวมทั้งสร้างอาชีพสร้างรายได้แก่เกษตรกรในพื้นที่ ส.ป.ก.ต่อไป
ทั้งนี้ จากการศึกษาและตรวจสอบความเป็นไปได้ เพื่อพัฒนาพื้นที่ ส.ป.ก. ให้กลายเป็นทุ่งกังหันลม พบว่า พื้นที่ใน 3 จังหวัด มีศักยภาพผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ 1,436 ล้านหน่วยต่อปี สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ปีละกว่า 800,000 ตัน หรือลดค่าใช้จ่ายให้ประเทศได้ 400 ล้านบาทต่อปี นับเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศระดับหนึ่ง
การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมนี้ นอกจากจะได้พลังงานสีเขียว หรือพลังงานที่สะอาดแล้ว ยังเป็นการช่วยลดภาวะโลกร้อน และปกป้องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก
สำหรับเสากังหันลม 1 ต้น สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 2,000 กิโลวัตต์ จ่ายไฟฟ้าให้ประชาชนได้ประมาณ 1,400 หลังคาเรือนต่อปี คาดว่าแต่ละโครงการจะติดตั้งเสากังหันลม ประมาณ 45 ต้น ผลิตไฟฟ้าได้ 90 เมกะวัตต์ ซึ่งหากผ่านขั้นตอนต่างๆ ทางราชการได้ คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในระยะเวลา 1 ปี และสามารถผลิตไฟฟ้า ทั้งหมด 360 เมกะวัตต์ ในเขตปฏิรูปที่ดิน
นอกจากนี้ยังคาดว่า ในอนาคตจะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงได้อีกแหล่งหนึ่ง และยังสามารถช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรในพื้นที่ รวมทั้งสร้างอาชีพสร้างรายได้แก่เกษตรกรในพื้นที่ ส.ป.ก.ต่อไป
