วันนี้ (19 เม.ย.) นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายธีระ มินทราศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา และผู้แทนจากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้เรียกประชุมกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่จังหวัดยะลา รวมกว่า 1,500 คน เพื่อชี้แจงแนวทางการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงการขยายเวลาในการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ต่อเนื่องอีก 3 เดือน
นายถาวร กล่าวว่า การดำเนินนโยบายในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลใช้แนวทางการเมืองนำการทหารและน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา
การลงพื้นที่พบปะกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในครั้งนี้ นอกจากจะมอบนโยบายในการปฏิบัติงานแล้ว ยังจะได้นำมติคณะรัฐมนตรีที่มีการขยายเวลาในการใช้ พ.ร.บ. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่อไปอีก 3 เดือน ให้รับทราบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ซึ่งในภาพรวมประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่างเห็นด้วยที่มีการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ เนื่องจากเห็นว่าทำให้สถานการณ์ไม่สงบปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้อีก 3 เดือน ก็จะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สรุปถึงประสิทธิภาพในการใช้ พ.ร.ก. หากไม่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าการมี พ.ร.ก.ฉบับนี้แล้ว ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างไร ก็อาจจะต้องพิจารณาว่าจะยกเลิกแล้วใช้กฎหมายปกติ
นายถาวร กล่าวว่า การดำเนินนโยบายในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลใช้แนวทางการเมืองนำการทหารและน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา
การลงพื้นที่พบปะกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในครั้งนี้ นอกจากจะมอบนโยบายในการปฏิบัติงานแล้ว ยังจะได้นำมติคณะรัฐมนตรีที่มีการขยายเวลาในการใช้ พ.ร.บ. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่อไปอีก 3 เดือน ให้รับทราบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ซึ่งในภาพรวมประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่างเห็นด้วยที่มีการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ เนื่องจากเห็นว่าทำให้สถานการณ์ไม่สงบปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้อีก 3 เดือน ก็จะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สรุปถึงประสิทธิภาพในการใช้ พ.ร.ก. หากไม่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าการมี พ.ร.ก.ฉบับนี้แล้ว ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างไร ก็อาจจะต้องพิจารณาว่าจะยกเลิกแล้วใช้กฎหมายปกติ
