นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจรับทราบสถานการณ์และแนวโน้มปัญหาการว่างงาน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยล่าสุดในเดือนมกราคม 2552 มีผู้ประกันตนมาขึ้นทะเบียนว่างงาน 66,776 คน มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 39,050 คน หรือมากกว่าร้อยละ 140.84
สำหรับกิจการที่มีการเลิกจ้าง 5 อันดับแรก ได้แก่ การผลิตชิ้นส่วนต่างๆ การผลิตยานยนต์ การผลิตเครื่องเรือน การผลิตสิ่งทอ และการผลิตเครื่องจักร
อย่างไรก็ตาม นายไพฑูรย์ กล่าวว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ มีตำแหน่งงานที่ว่างอยู่ 128,173 อัตรา ซึ่งอยู่ระหว่างรอการจัดงานนัดพบแรงงานที่กำหนดจัดขึ้นทุกวันเสาร์ และจัดในทุกภาคของประเทศ รวมทั้งได้เตรียมมาตรการรองรับปัญหาการว่างงานไว้ 4 มาตรการ ทั้งการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อแรงงาน การดำเนินการภายใต้กรอบ 3 ลด 3 เพิ่ม เช่น ลดการว่างงาน ลดการเคลื่อนย้ายแรงงาน จัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ยังสั่งการให้กระทรวงแรงงานรายงานสถานการณ์แรงงาน และแนวโน้มปัญหาการว่างงานให้ที่ประชุมรับทราบทุกเดือน เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงแรงงาน จัดทำรายละเอียดงบประมาณเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาแรงงานที่มีอยู่แล้วให้นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อบูรณาการร่วมกันต่อไป
สำหรับกิจการที่มีการเลิกจ้าง 5 อันดับแรก ได้แก่ การผลิตชิ้นส่วนต่างๆ การผลิตยานยนต์ การผลิตเครื่องเรือน การผลิตสิ่งทอ และการผลิตเครื่องจักร
อย่างไรก็ตาม นายไพฑูรย์ กล่าวว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ มีตำแหน่งงานที่ว่างอยู่ 128,173 อัตรา ซึ่งอยู่ระหว่างรอการจัดงานนัดพบแรงงานที่กำหนดจัดขึ้นทุกวันเสาร์ และจัดในทุกภาคของประเทศ รวมทั้งได้เตรียมมาตรการรองรับปัญหาการว่างงานไว้ 4 มาตรการ ทั้งการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อแรงงาน การดำเนินการภายใต้กรอบ 3 ลด 3 เพิ่ม เช่น ลดการว่างงาน ลดการเคลื่อนย้ายแรงงาน จัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ยังสั่งการให้กระทรวงแรงงานรายงานสถานการณ์แรงงาน และแนวโน้มปัญหาการว่างงานให้ที่ประชุมรับทราบทุกเดือน เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงแรงงาน จัดทำรายละเอียดงบประมาณเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาแรงงานที่มีอยู่แล้วให้นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อบูรณาการร่วมกันต่อไป
