จีนก้าวแซงหน้าสหรัฐฯ ขึ้นมาเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยมียอดขายรถรายเดือนมากกว่าสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก หลังจากที่พบว่ายอดจำหน่ายรถในสหรัฐฯในเดือนมกราคมที่ผ่านมาลดลงถึงร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับชวงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมียอดจำหน่ายที่ 656,976 คัน เป็นการลดลงครั้งใหญ่สุดในรอบ 26 ปี แต่ในช่วงเดียวกันก็พบว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์ในจีนซึ่งลดลงเพียงร้อยละ 8 มียอดถึง 790,000 คัน นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จีนมียอดจำหน่ายแซงหน้าสหรัฐฯ
สำหรับยอดจำหน่ายรถยนต์ในจีนตลอดทั้งปีนี้ คาดว่าจะสูงถึง 10.7 ล้านคัน ซึ่งมากกว่ายอดจำหน่ายในสหรัฐฯ ที่คาดว่าปีนี้น่าจะอยู่ที่ 9.8 ล้านคัน ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2549 จีนเพิ่งแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่อันดับ 2 ของโลก
สำหรับยอดจำหน่ายรถในจีนนั้นได้รับอานิสงส์จากมาตรการของรัฐบาลที่ลดภาษีลงครึ่งหนึ่งสำหรับรถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,600 ซีซี โดยเก็บภาษีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้นไปจนถึงสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ ยังให้การอุดหนุนแก่เกษตรกรในการเปลี่ยนจากรถ 3 ล้อ หรือรถบรรทุกขนาดเล็กที่ล้าสมัยให้หันมาใช้รถใหม่แทน ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้รถที่ประหยัดพลังงานและส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ
สำหรับยอดจำหน่ายรถยนต์ในจีนตลอดทั้งปีนี้ คาดว่าจะสูงถึง 10.7 ล้านคัน ซึ่งมากกว่ายอดจำหน่ายในสหรัฐฯ ที่คาดว่าปีนี้น่าจะอยู่ที่ 9.8 ล้านคัน ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2549 จีนเพิ่งแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่อันดับ 2 ของโลก
สำหรับยอดจำหน่ายรถในจีนนั้นได้รับอานิสงส์จากมาตรการของรัฐบาลที่ลดภาษีลงครึ่งหนึ่งสำหรับรถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,600 ซีซี โดยเก็บภาษีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้นไปจนถึงสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ ยังให้การอุดหนุนแก่เกษตรกรในการเปลี่ยนจากรถ 3 ล้อ หรือรถบรรทุกขนาดเล็กที่ล้าสมัยให้หันมาใช้รถใหม่แทน ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้รถที่ประหยัดพลังงานและส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ