นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้พบหารือกับผู้บริหารของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) นำโดยนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธาน ส.อ.ท. เพื่อรับฟังข้อเสนอจากภาคเอกชนศมหาศาล
นายสันติ กล่าวว่า สมาชิก ส.อ.ท.ได้สรุปประเด็นที่ขอความสนับสนุนจากภาครัฐให้ดำเนินการเร่งด่วน 5 เรื่อง คือ 1. ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี โดยจัดให้มีการประชุมเวิร์กช็อป 75 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ลดเงินทุนหมุนเวียน ลดต้นทุนการบริหารจัดการด้านพลังงาน จัดให้มีการโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน และเพิ่มผลผลิตภายในองค์กร โดยจัดตั้งสถาบัน Industrial Design 2. เร่งรัดส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมต้นน้ำที่มีศักยภาพสูง เช่น อุตสาหกรรมผลิตเหล็กคุณภาพสูง 3. ให้ภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนโครงการอุตสาหกรรมประกอบรถไฟฟ้าและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยขอให้มีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐและเอกชน 4. ขอให้ทบทวนโครงการจัดซื้อรถโดยสารประจำทางเอ็นจีวีจำนวน 4,000 คัน ที่สั่งซื้อจากต่างประเทศ โดยขอให้พิจารณาผู้ประกอบการไทยที่สามารถผลิตได้ตามมาตรฐานสากล โดยขอให้มีการตั้งคณะทำงานร่วมพิจารณาการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศให้มีความเหมาะสม และ 5. ผลักดันให้กรมศุลกากร และกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ แก้ไขประกาศเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2552 ให้การนำเข้าสารเคมี SULFUR ออกจากบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย
นอกจากนี้ เอกชนยังเสนอให้รัฐบาลแก้ปัญหาและอุปสรรคของภาคอุตสาหกรรม โดยให้รัฐมีนโยบายเพิ่มการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศเข้มงวดการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และขอให้การปรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือเอฟที และค่าน้ำเพื่ออุตสาหกรรมให้มีราคาและคุณภาพที่เหมาะสม
นายสันติ กล่าวว่า สมาชิก ส.อ.ท.ได้สรุปประเด็นที่ขอความสนับสนุนจากภาครัฐให้ดำเนินการเร่งด่วน 5 เรื่อง คือ 1. ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี โดยจัดให้มีการประชุมเวิร์กช็อป 75 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ลดเงินทุนหมุนเวียน ลดต้นทุนการบริหารจัดการด้านพลังงาน จัดให้มีการโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน และเพิ่มผลผลิตภายในองค์กร โดยจัดตั้งสถาบัน Industrial Design 2. เร่งรัดส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมต้นน้ำที่มีศักยภาพสูง เช่น อุตสาหกรรมผลิตเหล็กคุณภาพสูง 3. ให้ภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนโครงการอุตสาหกรรมประกอบรถไฟฟ้าและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยขอให้มีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐและเอกชน 4. ขอให้ทบทวนโครงการจัดซื้อรถโดยสารประจำทางเอ็นจีวีจำนวน 4,000 คัน ที่สั่งซื้อจากต่างประเทศ โดยขอให้พิจารณาผู้ประกอบการไทยที่สามารถผลิตได้ตามมาตรฐานสากล โดยขอให้มีการตั้งคณะทำงานร่วมพิจารณาการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศให้มีความเหมาะสม และ 5. ผลักดันให้กรมศุลกากร และกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ แก้ไขประกาศเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2552 ให้การนำเข้าสารเคมี SULFUR ออกจากบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย
นอกจากนี้ เอกชนยังเสนอให้รัฐบาลแก้ปัญหาและอุปสรรคของภาคอุตสาหกรรม โดยให้รัฐมีนโยบายเพิ่มการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศเข้มงวดการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และขอให้การปรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือเอฟที และค่าน้ำเพื่ออุตสาหกรรมให้มีราคาและคุณภาพที่เหมาะสม
