นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยถึงแนวทางปฏิบัติ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการหัก ลด หย่อน ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเบี้ยประกันชีวิต ซึ่งเกณฑ์นี้จะใช้บังคับสำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิต ซึ่งเริ่มทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป
โดยเกณฑ์ดังกล่าวคือ ผู้ที่ทำกรมธรรม์ประกันชีวิตประเภท 10 ปีขึ้นไป ที่มีความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติม อาทิ ประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุ สามารถยื่นใบเสร็จ ขอหักลดหย่อนภาษีเงินได้ เฉพาะเบี้ยประกันชีวิตเท่านั้น โดยจะต้องทำการแยกใบเสร็จเบี้ยประกันชีวิตออกจากประกันพ่วงต่างๆ อย่างชัดเจน
ส่วนผู้ที่ทำกรมธรรม์ประกันชีวิตก่อนวันที่ 1 มกราคม 2552 สามารถยื่นใบเสร็จรวม และหักลดหย่อนภาษีได้ทั้งหมดเหมือนเดิม และจะไม่มีการเก็บภาษีย้อนหลัง แต่หากบริษัทประกันเคยแยกใบเสร็จเบี้ยประกันชีวิตกับประกันอื่นๆ เพิ่มเติมไว้อยู่แล้ว ก็ให้หักลดหย่อนภาษีได้ เฉพาะเท่ากับเบี้ยประกันชีวิต
นอกจากนี้ กรมธรรม์ประกันชีวิตที่จะได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษี จะต้องเป็นกรมธรรม์ที่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทน หรือเงินคืนในแต่ละปี ไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันชีวิต และในปีนี้บริษัทประกันชีวิตจะมีการแยกใบเสร็จอย่างชัดเจน ระหว่างเบี้ยประกันชีวิตกับประกันพ่วงประเภทอื่น เพื่อความถูกต้องในการนำไปหักลดหย่อนภาษี
โดยเกณฑ์ดังกล่าวคือ ผู้ที่ทำกรมธรรม์ประกันชีวิตประเภท 10 ปีขึ้นไป ที่มีความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติม อาทิ ประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุ สามารถยื่นใบเสร็จ ขอหักลดหย่อนภาษีเงินได้ เฉพาะเบี้ยประกันชีวิตเท่านั้น โดยจะต้องทำการแยกใบเสร็จเบี้ยประกันชีวิตออกจากประกันพ่วงต่างๆ อย่างชัดเจน
ส่วนผู้ที่ทำกรมธรรม์ประกันชีวิตก่อนวันที่ 1 มกราคม 2552 สามารถยื่นใบเสร็จรวม และหักลดหย่อนภาษีได้ทั้งหมดเหมือนเดิม และจะไม่มีการเก็บภาษีย้อนหลัง แต่หากบริษัทประกันเคยแยกใบเสร็จเบี้ยประกันชีวิตกับประกันอื่นๆ เพิ่มเติมไว้อยู่แล้ว ก็ให้หักลดหย่อนภาษีได้ เฉพาะเท่ากับเบี้ยประกันชีวิต
นอกจากนี้ กรมธรรม์ประกันชีวิตที่จะได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษี จะต้องเป็นกรมธรรม์ที่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทน หรือเงินคืนในแต่ละปี ไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันชีวิต และในปีนี้บริษัทประกันชีวิตจะมีการแยกใบเสร็จอย่างชัดเจน ระหว่างเบี้ยประกันชีวิตกับประกันพ่วงประเภทอื่น เพื่อความถูกต้องในการนำไปหักลดหย่อนภาษี