น.ส.สุดจิตร อินทรไทยวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า หลังจากที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิต้องยุติให้บริการตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้ไม่สามารถขนส่งสินค้าได้เกิดความเสียหายมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อวัน และทำให้วัตถุดิบในการผลิตขาดแคลนจนการผลิตต้องหยุดชะงัก และอาจส่งผลกระทบต่อแรงงานของอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายประมาณ 200,000 คน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ จึงได้หาแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยได้ติดต่อสอบถามผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เพื่อประเมินความเสียหายและความช่วยเหลือที่ต้องการ
น.ส.สุดจิตร กล่าวว่า บีโอไอได้หารือแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีสมาชิกมากกว่า 50 บริษัท มีมูลค่าการลงทุนของสมาชิกมากกว่า 30,000 ล้านบาท และมีมูลค่าการส่งออกปีละกว่า 700,000 ล้านบาท ซึ่งผู้ประกอบการจำนวนมากเปลี่ยนช่องทางการขนส่งสินค้าไปยังท่าอากาศยานอู่ตะเภา และสนามบินปีนัง และกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์
นอกจากนี้ ยังประสานงานกับบริษัทผู้ดำเนินการขนถ่ายสินค้าขึ้นเครื่องบิน อาทิ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อช่วยเคลื่อนย้ายอุปกรณ์และเครื่องมือในการขนถ่ายสินค้าขึ้นเครื่องบินไปเพิ่มกำลังที่สนามบินอู่ตะเภา เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการในการขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมีข้อเสนอว่าหากสถานการณ์ยืดเยื้อและไม่สามารถหาผู้ให้บริการขนส่งสินค้าที่สนามบินอู่ตะเภาได้ จะขอความช่วยเหลือจากกองทัพจัดหาเครื่องบิน C-130 มาช่วยในการขนส่งสินค้าของภาคเอกชน
น.ส.สุดจิตร กล่าวว่า บีโอไอได้หารือแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีสมาชิกมากกว่า 50 บริษัท มีมูลค่าการลงทุนของสมาชิกมากกว่า 30,000 ล้านบาท และมีมูลค่าการส่งออกปีละกว่า 700,000 ล้านบาท ซึ่งผู้ประกอบการจำนวนมากเปลี่ยนช่องทางการขนส่งสินค้าไปยังท่าอากาศยานอู่ตะเภา และสนามบินปีนัง และกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์
นอกจากนี้ ยังประสานงานกับบริษัทผู้ดำเนินการขนถ่ายสินค้าขึ้นเครื่องบิน อาทิ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อช่วยเคลื่อนย้ายอุปกรณ์และเครื่องมือในการขนถ่ายสินค้าขึ้นเครื่องบินไปเพิ่มกำลังที่สนามบินอู่ตะเภา เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการในการขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมีข้อเสนอว่าหากสถานการณ์ยืดเยื้อและไม่สามารถหาผู้ให้บริการขนส่งสินค้าที่สนามบินอู่ตะเภาได้ จะขอความช่วยเหลือจากกองทัพจัดหาเครื่องบิน C-130 มาช่วยในการขนส่งสินค้าของภาคเอกชน
