นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ผู้ค้าน้ำมันในประเทศไม่ควรปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันในช่วงนี้ ขอให้รอดูสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไปก่อนอีก 1-2 วัน เพราะช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันลงช้ากว่าราคาตลาดโลก ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันอยู่ในระดับสูง โดยค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (อี 10) เฉลี่ยอยู่ที่ 2.40 บาทต่อลิตร จากระดับปกติควรเฉลี่ยอยู่ที่ 1.70 - 2.00 บาทต่อลิตร ส่วนค่าการตลาดน้ำมันดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ 2.52 บาทต่อลิตร จากระดับปกติควรเฉลี่ยอยู่ที่ 1.00 - 1.50 บาทต่อลิตร และการที่ราคาน้ำมันโลกปรับขึ้นวันนี้ (23 ก.ย.) ประกอบกับการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอีก 40 - 50 สตางค์ต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ลดลงอยู่ที่ 1.36 บาทต่อลิตร และดีเซลลดลงอยู่ที่ 1.06 บาทต่อลิตร ซึ่งถือว่าเป็นค่าการตลาดที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปกติเพียงเล็กน้อย และเพิ่งปรับลดต่ำกว่าเกณฑ์ปกติที่ 1.50 บาทต่อลิตรเป็นวันแรก ผู้ค้าน้ำมันจึงไม่ควรรีบปรับขึ้นราคาน้ำมันทันที
ส่วนการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นนั้น ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวย้ำว่า กระทรวงพลังงาน ได้พิจารณาเห็นว่าค่าการตลาดของบริษัทน้ำมันอยู่ในระดับที่สูงมาก การเก็บเงินเข้ากองทุนฯ จึงไม่มีผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ ที่สำคัญเป็นการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และทำให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์มีราคาถูกลง เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น
ส่วนการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นนั้น ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวย้ำว่า กระทรวงพลังงาน ได้พิจารณาเห็นว่าค่าการตลาดของบริษัทน้ำมันอยู่ในระดับที่สูงมาก การเก็บเงินเข้ากองทุนฯ จึงไม่มีผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ ที่สำคัญเป็นการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และทำให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์มีราคาถูกลง เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น