ตามที่มีการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และแต่งตั้งให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้ารับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งจัดตั้งกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.)นั้น กอฉ.และกองทัพบก ได้พิจารณาและประเมินสถานการณ์แล้ว พบว่าสถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมขณะนี้ได้คลี่คลายลง ปราศจากการปะทะกันระหว่างกลุ่มของประชาชน จนไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าสถานการณ์ฉุกเฉินอีกต่อไป เป็นผลทำให้ กอฉ.พิจารณาใช้มาตรการบังคับตามข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เป็นกรณีๆ ไป เพื่อลดความสุ่มเสี่ยงต่อการทวีความรุนแรงของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น กองทัพจึงเลือกใช้วิธีประสานและสร้างความเข้าใจกับทุกฝ่าย เพื่อลดเงื่อนไขต่างๆ ลง และหาทางออกให้กับบ้านเมืองด้วยสันติวิธี
การดำเนินงานในขณะนี้ กอฉ. ยังคงใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลักในการดูแลการชุมนุม และได้มีการเตรียมกำลังทหารจากกองร้อยรักษาความสงบเรียบร้อยของทุกเหล่าทัพไว้เป็นกำลังสนับสนุนอย่างเพียงพอ จึงขอให้มีความเชื่อมั่นต่อมาตรการการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาน ดังนั้น ให้ผู้ชุมนุมทุกฝ่ายเคร่งครัดในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ และขอให้งดใช้อุปกรณ์อื่นใดที่อาจแปลงสภาพเป็นอาวุธทุกประเภท
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางการเมืองที่มีเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน ดังนั้น การประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดย่อมทำได้ยาก กอฉ.และกองทัพบก พิจารณาแล้วเห็นว่า การบังคับใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในวันนี้อาจส่งผลกระทบเสียหายในวงกว้าง ซึ่งหากจะมีการประกาศยกเลิกในอนาคตอันใกล้ ย่อมส่งผลในทางที่ดีมากกว่า ซึ่งกองทัพบกพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงานที่จะทำให้เกิดความสงบสุขและเรียบร้อยในบ้านเมืองได้ทุกเวลา
กอฉ.ขอเรียนทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนว่า การชุมนุมแม้ว่าจะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่การชุมนุมที่ไม่ยอมลดเงื่อนไขใดๆ เลย มิใช่หนทางในการแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง การชุมนุมต่อเนื่องและยาวนานย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายได้มีความตั้งใจจริงที่จะปรึกษาหารือ เพื่อร่วมกันหาทางออกที่เป็นไปได้ในบ้านเมือง เพื่อรักษาระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การดำเนินงานในขณะนี้ กอฉ. ยังคงใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลักในการดูแลการชุมนุม และได้มีการเตรียมกำลังทหารจากกองร้อยรักษาความสงบเรียบร้อยของทุกเหล่าทัพไว้เป็นกำลังสนับสนุนอย่างเพียงพอ จึงขอให้มีความเชื่อมั่นต่อมาตรการการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาน ดังนั้น ให้ผู้ชุมนุมทุกฝ่ายเคร่งครัดในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ และขอให้งดใช้อุปกรณ์อื่นใดที่อาจแปลงสภาพเป็นอาวุธทุกประเภท
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางการเมืองที่มีเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน ดังนั้น การประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดย่อมทำได้ยาก กอฉ.และกองทัพบก พิจารณาแล้วเห็นว่า การบังคับใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในวันนี้อาจส่งผลกระทบเสียหายในวงกว้าง ซึ่งหากจะมีการประกาศยกเลิกในอนาคตอันใกล้ ย่อมส่งผลในทางที่ดีมากกว่า ซึ่งกองทัพบกพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงานที่จะทำให้เกิดความสงบสุขและเรียบร้อยในบ้านเมืองได้ทุกเวลา
กอฉ.ขอเรียนทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนว่า การชุมนุมแม้ว่าจะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่การชุมนุมที่ไม่ยอมลดเงื่อนไขใดๆ เลย มิใช่หนทางในการแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง การชุมนุมต่อเนื่องและยาวนานย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายได้มีความตั้งใจจริงที่จะปรึกษาหารือ เพื่อร่วมกันหาทางออกที่เป็นไปได้ในบ้านเมือง เพื่อรักษาระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข