นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า รัฐบาลต้องเร่งพิจารณาเรื่องปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีโดยด่วน พร้อมทั้งวางแนวทางที่ชัดเจนของการปรับราคาแอลพีจีในอนาคต เพราะปัจจุบันรถยนต์และอุตสาหกรรมมีการปรับเปลี่ยนมาใช้แอลพีจีเป็นเชื้อเพลิงมากขึ้น ส่งผลให้โรงกลั่นน้ำมัน และปตท. ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการนำเข้าแอลพีจีทั้งหมดไปก่อนในราคาที่ถูกกว่าราคาขายแอลพีจีในตลาดโลกถึง 2 - 3 เท่าตัว ซึ่งหากรวมกับจำนวนเงินนำเข้าที่คาดว่าในปีนี้ต้องนำเข้าแอลพีจีอีกหลายแสนตันก็นับว่าเป็นจำนวนเงินที่ประเทศต้องสูญเสียไปจำนวนมหาศาล ที่สำคัญการนำเข้าดังกล่าวยังส่งกระทบต่อผลประกอบการของโรงกลั่นน้ำมันในช่วงไตรมาส 3 ที่อาจเกิดการขาดทุน สาเหตุจากน้ำมันดิบคงคลังสูงมากและราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว หากไม่รีบพิจารณาปรับราคาแอลพีจีหน้าโรงกลั่นนำมันก็จะยิ่งทำให้โรงกลั่นฯขาดทุนมากขึ้น
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มองว่า ไม่ควรปรับราคาแอลพีจีออกเป็น 2 ราคา แต่ควรปรับราคาขึ้นไปพร้อมๆ กันในทุกส่วน เพราะไม่มีมาตรการใดจะสามารถแก้ปัญหาหรือป้องกันการถ่ายเทก๊าซได้ขาด ทั้งนี้ การปรับราคาควรจะยึดสูตรเก่าคือการอิงราคาในประเทศจากโรงแยกก๊าซร้อยละ 60 อิงราคาตลาดโลกที่เกิดจากโรงกลั่นนำเข้าน้ำมันดิบมาผลิตร้อยละ 40 จากนั้นค่อยๆขยับขึ้น 7 - 8 บาทต่อกิโลกรัม
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มองว่า ไม่ควรปรับราคาแอลพีจีออกเป็น 2 ราคา แต่ควรปรับราคาขึ้นไปพร้อมๆ กันในทุกส่วน เพราะไม่มีมาตรการใดจะสามารถแก้ปัญหาหรือป้องกันการถ่ายเทก๊าซได้ขาด ทั้งนี้ การปรับราคาควรจะยึดสูตรเก่าคือการอิงราคาในประเทศจากโรงแยกก๊าซร้อยละ 60 อิงราคาตลาดโลกที่เกิดจากโรงกลั่นนำเข้าน้ำมันดิบมาผลิตร้อยละ 40 จากนั้นค่อยๆขยับขึ้น 7 - 8 บาทต่อกิโลกรัม
