นายแพทย์สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รักษาการเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน กล่าวถึงความคืบหน้าในการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ตามพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน กำหนดว่า ขณะนี้งานด้านการแพทย์ฉุกเฉินของไทยยังไม่ก้าวหน้า และขาดความพร้อมมาก จากข้อจำกัดหลายด้าน ทั้งจากระบบราชการ โดยเฉพาะการอยู่เวรแพทย์ที่ส่วนใหญ่ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางด้านการแพทย์ฉุกเฉิน สามารถให้บริการช่วยเหลือเพียงผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บเพียงร้อยละ 10 จากจำนวนผู้ที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ ทำให้ปัจจุบันยังมียอดผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยตั้งแต่ต้นปี 2551 ถึงขณะนี้ มีผู้เสียชีวิตจากภาวะฉุกเฉินทุกประเภทแล้วประมาณ 60,000 ราย
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากฎหมายที่ประกาศใช้นี้ จะช่วยพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินไทยในระยะยาวได้ต่อไป เพื่อลดการชีวิตในจำนวนผู้ป่วยฉุกเฉินทุกประเภทได้ โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องลดอัตราการเสียชีวิตให้ได้ร้อยละ 14-15 ภายใน 4-5 ปี
ด้านนายแพทย์สุรจิต สุนทรธรรม ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การได้รับการช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินขึ้น จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากการตายที่ไม่เหมาะสม ลดความพิการ และความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ซึ่ง สปสช.ได้สนับสนุนการพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยจะจัดตั้งกองทุนพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินระดับจังหวัด ซึ่งได้นำร่องเป็นแห่งแรกไปแล้วที่จังหวัดอุบลราชธานี และในปี 2551 นี้ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้จัดสรรงบประมาณสำหรับการพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน หรือ EMS เป็นวงเงินทั้งหมดกว่า 557 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากฎหมายที่ประกาศใช้นี้ จะช่วยพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินไทยในระยะยาวได้ต่อไป เพื่อลดการชีวิตในจำนวนผู้ป่วยฉุกเฉินทุกประเภทได้ โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องลดอัตราการเสียชีวิตให้ได้ร้อยละ 14-15 ภายใน 4-5 ปี
ด้านนายแพทย์สุรจิต สุนทรธรรม ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การได้รับการช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินขึ้น จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากการตายที่ไม่เหมาะสม ลดความพิการ และความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ซึ่ง สปสช.ได้สนับสนุนการพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยจะจัดตั้งกองทุนพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินระดับจังหวัด ซึ่งได้นำร่องเป็นแห่งแรกไปแล้วที่จังหวัดอุบลราชธานี และในปี 2551 นี้ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้จัดสรรงบประมาณสำหรับการพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน หรือ EMS เป็นวงเงินทั้งหมดกว่า 557 ล้านบาท