ราคาน้ำมันดิบโลกทำสถิติใหม่ พุ่งทะลุ 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังสำนักข่าวสารการพลังงานของสหรัฐฯ มีรายงานตัวเลขปริมาณสำรองน้ำมันดิบลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินก็ลดลงถึง 5 ล้านบาร์เรล ก่อให้เกิดความวิตกว่า สหรัฐฯ จะมีน้ำมันไม่พอใช้ในช่วงหน้าร้อนนี้ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบไลท์สวีท ตลาดนิวยอร์ก พุ่งไปอยู่ที่ 115.07 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ระหว่างการซื้อขายเมื่อวาน ก่อนจะไต่ระดับลงมาปิดที่ราคา 114.93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์ทะเลเหนือ ตลาดลอนดอน ก็ทำสถิติใหม่เช่นกัน โดยราคาได้พุ่งไปอยู่ที่ 112.79 ดอลลาร์ ก่อนจะลงมาปิดที่ 112.66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นอกจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่ลดลงแล้ว การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้น้ำมันดิบโลกมีราคาพุ่งขึ้น เพราะเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติสามารถซื้อน้ำมันดิบในรูปของเงินดอลลาร์ได้ถูกลงเช่นกัน แรงซื้อที่มีเข้ามามาก จึงส่งผลให้น้ำมันดิบมีราคาพุ่งขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์จากซิดนีย์ มองว่า การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันไปอีกสักระยะหนึ่ง
ทั้งนี้ การที่ราคาน้ำมันดิบโลกพุ่งสูงขึ้น ยังเป็นผลมาจากปัญหาในภาคการผลิตน้ำมัน ทั้งที่ในสหรัฐฯ เม็กซิโก และไนจีเรีย โดยท่อส่งน้ำมันแคปไลน์ ของบริษัทเชลล์ ซึ่งส่งน้ำมัน 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากแถบกัลฟ์โคสท์ ไปยังแถบมิดเวสต์ของสหรัฐฯ ถูกปิดใช้งานในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ส่งน้ำมันได้น้อยลง ส่วนเม็กซิโก ซึ่งเป็นผู้จัดหาน้ำมันรายหลักให้สหรัฐฯ ก็ต้องปิดแท่นขุดเจาะน้ำมันไป 3 แห่ง เพราะสภาพอากาศไม่ดี
ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์ทะเลเหนือ ตลาดลอนดอน ก็ทำสถิติใหม่เช่นกัน โดยราคาได้พุ่งไปอยู่ที่ 112.79 ดอลลาร์ ก่อนจะลงมาปิดที่ 112.66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นอกจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่ลดลงแล้ว การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้น้ำมันดิบโลกมีราคาพุ่งขึ้น เพราะเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติสามารถซื้อน้ำมันดิบในรูปของเงินดอลลาร์ได้ถูกลงเช่นกัน แรงซื้อที่มีเข้ามามาก จึงส่งผลให้น้ำมันดิบมีราคาพุ่งขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์จากซิดนีย์ มองว่า การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันไปอีกสักระยะหนึ่ง
ทั้งนี้ การที่ราคาน้ำมันดิบโลกพุ่งสูงขึ้น ยังเป็นผลมาจากปัญหาในภาคการผลิตน้ำมัน ทั้งที่ในสหรัฐฯ เม็กซิโก และไนจีเรีย โดยท่อส่งน้ำมันแคปไลน์ ของบริษัทเชลล์ ซึ่งส่งน้ำมัน 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากแถบกัลฟ์โคสท์ ไปยังแถบมิดเวสต์ของสหรัฐฯ ถูกปิดใช้งานในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ส่งน้ำมันได้น้อยลง ส่วนเม็กซิโก ซึ่งเป็นผู้จัดหาน้ำมันรายหลักให้สหรัฐฯ ก็ต้องปิดแท่นขุดเจาะน้ำมันไป 3 แห่ง เพราะสภาพอากาศไม่ดี
