วานนี้ (3 เม.ย) นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) พร้อมด้วยนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง เป็นประธานประชุมคณะคณะกรรมการกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองครั้งที่ 1/2551 โดยมีตัวแทนจากหลายพรรคการเมืองเข้าร่วมประชุมอาทิ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ตัวแทนจากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น
นางสดศรี กล่าวตอนหนึ่งว่า การให้เงินสนับสนุนสนับสนุนพรรคการเมืองยังมีความหละหลวมอยู่มาก โดยเฉพาะการเสนอโครงการต่าง ๆ ของพรรคการเมืองที่ตอนที่เสนอเข้ามาไม่ได้มีการวิเคราะห์โครงการอย่างรอบด้าน การเสนอโครงการส่วนใหญ่ของแต่ละพรรคการเมืองจึงเป็นการประชุมสัมมนา เช่น เกี่ยวกับไอที ทั้งที่พรรคน่าจะมีศักยภาพในการจัดสัมมนาอยู่แล้ว แต่ก็นำเงินจากกองทุนไปดำเนินการ ซึ่งถือว่าไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของกองทุนที่ต้องการให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็ง ดังนั้นการจัดกิจกรรมก็มีเพียงแค่การสัมมนาเรื่องที่ไม่เกี่ยวกัน อีกทั้งบางครั้งก็ไม่ได้จัดสัมมนาอย่างจริง ๆ จังๆ ซึ่งเมื่อกรรมการของกองทุนหมดวาระและกำลังจะเปลี่ยนกรรมการฯ จึงอยากขอให้ติดตามการใช้เงินในการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองอย่างใกล้ชิด
“จากนี้ไปเวลามีการสัมมนาของพรรคการเมืองเกิดขึ้น กกต.จะให้เจ้าหน้าที่ไปติดตามตรวจสอบว่ามีการจัดสัมมนาจริงหรือไม่ รวมทั้งต้องตรวจสอบว่าการใช้เงินกองทุนนั้นมีความโปร่งใสหรือไม่ เพราะเงินของกองทุนนี้ไม่ใช่เงินของ กกต. แต่เงินที่มาจากภาษีของประชาชน ที่จำเป็นต้องทำให้เกิดประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”
นางสดศรี กล่าวตอนหนึ่งว่า การให้เงินสนับสนุนสนับสนุนพรรคการเมืองยังมีความหละหลวมอยู่มาก โดยเฉพาะการเสนอโครงการต่าง ๆ ของพรรคการเมืองที่ตอนที่เสนอเข้ามาไม่ได้มีการวิเคราะห์โครงการอย่างรอบด้าน การเสนอโครงการส่วนใหญ่ของแต่ละพรรคการเมืองจึงเป็นการประชุมสัมมนา เช่น เกี่ยวกับไอที ทั้งที่พรรคน่าจะมีศักยภาพในการจัดสัมมนาอยู่แล้ว แต่ก็นำเงินจากกองทุนไปดำเนินการ ซึ่งถือว่าไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของกองทุนที่ต้องการให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็ง ดังนั้นการจัดกิจกรรมก็มีเพียงแค่การสัมมนาเรื่องที่ไม่เกี่ยวกัน อีกทั้งบางครั้งก็ไม่ได้จัดสัมมนาอย่างจริง ๆ จังๆ ซึ่งเมื่อกรรมการของกองทุนหมดวาระและกำลังจะเปลี่ยนกรรมการฯ จึงอยากขอให้ติดตามการใช้เงินในการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองอย่างใกล้ชิด
“จากนี้ไปเวลามีการสัมมนาของพรรคการเมืองเกิดขึ้น กกต.จะให้เจ้าหน้าที่ไปติดตามตรวจสอบว่ามีการจัดสัมมนาจริงหรือไม่ รวมทั้งต้องตรวจสอบว่าการใช้เงินกองทุนนั้นมีความโปร่งใสหรือไม่ เพราะเงินของกองทุนนี้ไม่ใช่เงินของ กกต. แต่เงินที่มาจากภาษีของประชาชน ที่จำเป็นต้องทำให้เกิดประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”
