สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (เอสไอพีอาร์ไอ) ระบุว่า การค้าอาวุธทั่วโลกลดลงร้อยละ 8 เมื่อปีที่แล้ว แต่มีหลักฐานเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่บ่งชี้ ว่าการค้าอาวุธในระยะยาวจะลดลง
นายมาร์ก บรอมลีย์ นักวิจัยของเอสไอพีอาร์ไอ ระบุว่า จากการสำรวจพบว่า การจัดส่งอาวุธเมื่อปีที่แล้วมีจำนวนลดลง หลังจากตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการจำหน่ายอาวุธขนาดเล็ก แต่ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินได้ว่า การจัดส่งอาวุธจะลดลงจริง หรือเป็นเพียงปรากฏการณ์สั้นๆ เท่านั้น
เอสไอพีอาร์ไอ ระบุว่า การนำเข้าอาวุธของจีนที่สั่งซื้อจากรัสเซียลดลงถึงร้อยละ 62 สาเหตุมาจากจีนมีจำนวนอาวุธมากพอโดยไม่จำเป็นต้องสั่งอาวุธเข้ามาประจำการแทนของเดิมที่มีอยู่ และการผลิตอาวุธภายในประเทศก็ทำได้มากขึ้น จีนนั้นถูกระบุว่า เป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่สุดของโลกในช่วงปี 2546 - 2550 คิดเป็นร้อยละ 12 ของการจัดซื้ออาวุธทั่วโลก ส่วนประเทศที่มีการจัดซื้อรองลงไปได้แก่ อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กรีซ และเกาหลีใต้
สำหรับประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ในช่วงเดียวกัน ก็คือ สหรัฐฯ มีส่วนแบ่งการตลาดถึงร้อยละ 31 ตามมาด้วยรัสเซีย เยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ อย่างไรก็ดี เอสไอพีอาร์ไอ เชื่อว่า แม้การส่งออกอาวุธจะชะลอตัว แต่การสั่งซื้อยังมีอยู่อย่างหนาแน่น แม้ว่าจีนจะลดการนำเข้า แต่ยังมีอีกหลายประเทศที่ต้องการจัดหาอาวุธจำนวนมาก เช่น ซาอุดีอาระเบียและไต้หวัน ที่คาดว่าอาจมีการสั่งซื้อาวุธจำนวนมากเร็วๆ นี้
การเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตอาวุธนั้น แม้จะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้มหาศาล แต่ก็มักถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย เพราะอาวุธเหล่านั้น มักถูกนำไปใช้ในเหตุการณ์ขัดแย้งภายในประเทศ อย่างเช่นความขัดแย้งในแคว้นดาร์ฟัวร์ของซูดาน ซึ่งจีนและรัสเซียเป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ให้กับรัฐบาลซูดาน
นายมาร์ก บรอมลีย์ นักวิจัยของเอสไอพีอาร์ไอ ระบุว่า จากการสำรวจพบว่า การจัดส่งอาวุธเมื่อปีที่แล้วมีจำนวนลดลง หลังจากตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการจำหน่ายอาวุธขนาดเล็ก แต่ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินได้ว่า การจัดส่งอาวุธจะลดลงจริง หรือเป็นเพียงปรากฏการณ์สั้นๆ เท่านั้น
เอสไอพีอาร์ไอ ระบุว่า การนำเข้าอาวุธของจีนที่สั่งซื้อจากรัสเซียลดลงถึงร้อยละ 62 สาเหตุมาจากจีนมีจำนวนอาวุธมากพอโดยไม่จำเป็นต้องสั่งอาวุธเข้ามาประจำการแทนของเดิมที่มีอยู่ และการผลิตอาวุธภายในประเทศก็ทำได้มากขึ้น จีนนั้นถูกระบุว่า เป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่สุดของโลกในช่วงปี 2546 - 2550 คิดเป็นร้อยละ 12 ของการจัดซื้ออาวุธทั่วโลก ส่วนประเทศที่มีการจัดซื้อรองลงไปได้แก่ อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กรีซ และเกาหลีใต้
สำหรับประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ในช่วงเดียวกัน ก็คือ สหรัฐฯ มีส่วนแบ่งการตลาดถึงร้อยละ 31 ตามมาด้วยรัสเซีย เยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ อย่างไรก็ดี เอสไอพีอาร์ไอ เชื่อว่า แม้การส่งออกอาวุธจะชะลอตัว แต่การสั่งซื้อยังมีอยู่อย่างหนาแน่น แม้ว่าจีนจะลดการนำเข้า แต่ยังมีอีกหลายประเทศที่ต้องการจัดหาอาวุธจำนวนมาก เช่น ซาอุดีอาระเบียและไต้หวัน ที่คาดว่าอาจมีการสั่งซื้อาวุธจำนวนมากเร็วๆ นี้
การเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตอาวุธนั้น แม้จะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้มหาศาล แต่ก็มักถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย เพราะอาวุธเหล่านั้น มักถูกนำไปใช้ในเหตุการณ์ขัดแย้งภายในประเทศ อย่างเช่นความขัดแย้งในแคว้นดาร์ฟัวร์ของซูดาน ซึ่งจีนและรัสเซียเป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ให้กับรัฐบาลซูดาน
