นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รมว.กษ.) กล่าวภายหลังตรวจคลังสินค้าที่ใช้เก็บลำไยอบแห้งปี 2546-2547 พื้นที่ จ.ลำพูนและ จ.เชียงใหม่ ว่า ปัจจุบันมีลำไยอบแห้งเหลืออยู่ในคลังจำนวนประมาณ 67,176 ตัน (เป็นขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร หรือ อตก.จำนวน 56,708 ตัน และ องค์การคลังสินค้า หรือ อคส. 10,468 ตัน) ซึ่ง องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ได้ทำสัญญาขายแบบทุบเปลือกแล้วจำนวน 2 สัญญา คือ ลำไยอบแห้งจาก 3 คลังประมาณ 2,000 ตัน สัญญาส่งมอบแล้วเสร็จภายในวันที่ 5 มกราคม 2551 แต่ผู้ซื้อผิดสัญญาไม่มารับสินค้าภายในกำหนด และสัญญาที่สองจำหน่ายลำไยอบแห้งจำนวน 85 คลัง ปริมาณ 54,643 ตัน สัญญามีกำหนดแล้วเสร็จ 23 มิถุนายน 2551 ปัจจุบันผู้ซื้อรับมอบสินค้าไปเพียง 6,500 ตันเท่านั้น จากการประเมินเบื้องต้นคาดว่าผู้ซื้อคงไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ อ.ต.ก.จึงจะดำเนินการยึดหลักประกันสัญญาทั้ง 2 สัญญา และจะใช้สิทธิเรียกร้องค่าปรับและค่าเสียหายจากผู้ซื้อต่อไป โดยลำไยอบแห้งปี 2546-2547 ทั้งหมดที่อยู่ในคลังเก็บ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะไม่นำออกจำหน่าย เนื่องจากจะไปกระทบกับลำไยอบแห้งในฤดูกาลที่จะออกผลผลิตมาเร็ว ๆ นี้ จึงจะแก้ปัญหาด้วยการเสนอคณะรัฐมนตรีขออนุมัตินำลำไยอบแห้งทั้งหมดไปแปรสภาพเป็นปุ๋ยอินทรีย์ให้เกษตรกร และจะให้นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นำไปผลิตเป็นเอทานอล
สำหรับมูลค่าลำไยอบแห้งที่ยังเหลือในโกดังมีประมาณ 300 ล้านบาท การผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์จะมีมูลค่าประมาณ 182 ล้านบาท แก้ปัญหาปุ๋ยราคาแพง ซึ่งการจัดการปัญหาดังกล่าวจะสามารถจัดการกับลำไยอบแห้งคงค้างในคลังที่มีปัญหาในระยะ 4 - 5 ปีที่ผ่านมา ป้องกันการนำลำไยอบแห้งเก่าไปปลอมปนขายในตลาด
สำหรับมูลค่าลำไยอบแห้งที่ยังเหลือในโกดังมีประมาณ 300 ล้านบาท การผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์จะมีมูลค่าประมาณ 182 ล้านบาท แก้ปัญหาปุ๋ยราคาแพง ซึ่งการจัดการปัญหาดังกล่าวจะสามารถจัดการกับลำไยอบแห้งคงค้างในคลังที่มีปัญหาในระยะ 4 - 5 ปีที่ผ่านมา ป้องกันการนำลำไยอบแห้งเก่าไปปลอมปนขายในตลาด