กรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) ประชุมซักซ้อมแผนการเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัยดินถล่ม ณ โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ จ.เชียงใหม่ โดยมีเครือข่ายเฝ้าระวังในจังหวัดเชียงใหม่เข้าร่วมประชุม ทั้งนี้เพราะ จ.เชียงใหม่ มีความเสี่ยงต่อธรณีพิบัติภัย โดยเฉพาะดินถล่ม มีความจำเป็นต้องกระตุ้นเตือนให้ประชาชนเกิดความตระหนัก เตรียมความพร้อมรับเหตุ เพิ่มช่องทางประสานการทำงานเป็นเครือข่ายเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัย
นายวรวุฒิ ตันติวนิช ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่ปรึกษาทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กล่าวว่า ช่วงเวลาที่ต้องเฝ้าระวังภัยดินถล่มในประเทศไทยมี 2 ช่วง คือ ต้นฤดูฝนช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะได้รับอิทธิพลจากลมในมหาสมุทรอินเดียและช่วงเดือนกลางฤดูฝนช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน ซึ่งมีอิทธิพลของลมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งต้องเฝ้าระวังเพราะหากฝนตกมากนั่นย่อมหมายถึงภัยจากดินถล่มจะเพิ่มขึ้นตามมาด้วยโดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาสูงและพื้นที่ที่บุกรุกทำลายป่าบนภูเขา โดยพบว่ามีถึง 51 จังหวัดในประเทศไทยที่เสี่ยงภัยดินถล่ม
ขณะนี้ กรมทรัพยากรธรณีได้จัดทำแผนที่เสี่ยงต่อธรณีพิบัติภัยทั่วประเทศ เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนแก้ไขและรับมือกับภัยที่เกิดขึ้น และมีการตั้งเครือข่ายอาสาสมัครเฝ้าระวังแจ้งเหตุธรณีพิบัติภัย ขณะเดียวกันมีการติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนและไซเรนเตือนภัยแล้ว 4,000 จุด โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงภัยสูง 22 จังหวัดวางครบทุกพื้นที่แล้ว และจะวางให้ครบ 6,000 จุดทั่วประเทศภายใน 2 ปี
นายวรวุฒิ ตันติวนิช ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่ปรึกษาทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กล่าวว่า ช่วงเวลาที่ต้องเฝ้าระวังภัยดินถล่มในประเทศไทยมี 2 ช่วง คือ ต้นฤดูฝนช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะได้รับอิทธิพลจากลมในมหาสมุทรอินเดียและช่วงเดือนกลางฤดูฝนช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน ซึ่งมีอิทธิพลของลมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งต้องเฝ้าระวังเพราะหากฝนตกมากนั่นย่อมหมายถึงภัยจากดินถล่มจะเพิ่มขึ้นตามมาด้วยโดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาสูงและพื้นที่ที่บุกรุกทำลายป่าบนภูเขา โดยพบว่ามีถึง 51 จังหวัดในประเทศไทยที่เสี่ยงภัยดินถล่ม
ขณะนี้ กรมทรัพยากรธรณีได้จัดทำแผนที่เสี่ยงต่อธรณีพิบัติภัยทั่วประเทศ เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนแก้ไขและรับมือกับภัยที่เกิดขึ้น และมีการตั้งเครือข่ายอาสาสมัครเฝ้าระวังแจ้งเหตุธรณีพิบัติภัย ขณะเดียวกันมีการติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนและไซเรนเตือนภัยแล้ว 4,000 จุด โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงภัยสูง 22 จังหวัดวางครบทุกพื้นที่แล้ว และจะวางให้ครบ 6,000 จุดทั่วประเทศภายใน 2 ปี