นายกรัฐมนตรี เควิน รัดด์ ของออสเตรเลีย กล่าวขอโทษชนเผ่าอะบอริจินอย่างเป็นทางการในวันนี้ (13 ก.พ.) สำหรับนโยบายและการบังคับใช้กฎหมายที่สร้างความเจ็บปวด และไม่เป็นธรรมต่อชนเผ่าอะบอริจิน มาตลอด 200 ปี นับจากถูกคนผิวขาวเข้ามาครอบครองพื้นที่
คำกล่าวขอโทษชนเผ่าอะบอริจิน ได้รับการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ โดยได้รับความสนใจจากชาวออสเตรเลียทั่วประเทศเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเหมือนจุดพลิกผันในหน้าประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย ที่เคยเต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างคนผิวขาวกับกลุ่มชนเผ่า ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการยอมรับนับถือและการสร้างความปรองดองในชาติ
นโยบายที่สร้างความเจ็บปวดให้ชนเผ่าอะบอริจินมากที่สุด ก็คือนโยบาย "สโตเล่น เจเนอเรชั่นส์" (Stolen Generations) เป็นการพรากเด็กเลือดผสมระหว่างคนผิวขาวกับกลุ่มชนเผ่า ออกมาจากครอบครัว แล้วนำมาให้รัฐเลี้ยงดู เพื่อปลูกฝังให้เด็กมีชีวิตความเป็นอยู่กลมกลืนกับคนผิวขาวให้มากที่สุด และให้ลืมรากเหง้าความเป็นอะบอริจินของตนเอง นโยบายกลืนเผ่าพันธุ์อะบอริจิน ถูกบังคับใช้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 จนถึงช่วงปลายทศวรรษที่ 60 ส่งผลให้ชนเผ่าอะบอริจินลดจำนวนลงจาก 1 ล้านคน เหลืออยู่แค่ 470,000 คน ในปัจจุบัน
คำกล่าวขอโทษชนเผ่าอะบอริจิน ได้รับการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ โดยได้รับความสนใจจากชาวออสเตรเลียทั่วประเทศเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเหมือนจุดพลิกผันในหน้าประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย ที่เคยเต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างคนผิวขาวกับกลุ่มชนเผ่า ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการยอมรับนับถือและการสร้างความปรองดองในชาติ
นโยบายที่สร้างความเจ็บปวดให้ชนเผ่าอะบอริจินมากที่สุด ก็คือนโยบาย "สโตเล่น เจเนอเรชั่นส์" (Stolen Generations) เป็นการพรากเด็กเลือดผสมระหว่างคนผิวขาวกับกลุ่มชนเผ่า ออกมาจากครอบครัว แล้วนำมาให้รัฐเลี้ยงดู เพื่อปลูกฝังให้เด็กมีชีวิตความเป็นอยู่กลมกลืนกับคนผิวขาวให้มากที่สุด และให้ลืมรากเหง้าความเป็นอะบอริจินของตนเอง นโยบายกลืนเผ่าพันธุ์อะบอริจิน ถูกบังคับใช้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 จนถึงช่วงปลายทศวรรษที่ 60 ส่งผลให้ชนเผ่าอะบอริจินลดจำนวนลงจาก 1 ล้านคน เหลืออยู่แค่ 470,000 คน ในปัจจุบัน
