นายพินิจ กอศรีพร รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงแนวโน้มสินค้าเกษตรไทยปีนี้ว่า สินค้าในกลุ่มพืชพลังงาน อย่างอ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพด และถั่วเหลือง จะมีความต้องการมากขึ้น ทั้งตลาดภายในและภายนอกประเทศ เพื่อแปรรูปเป็นพลังงานทดแทน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) จึงต้องปรับแผนการปลูกพืชกลุ่มดังกล่าวใหม่ โดยจะใช้วิธีการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ในพื้นที่เดิม แทนการขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มเติม ขณะเดียวกันจะต้องคงสัดส่วนผลผลิตพืชกลุ่มอื่น โดยไม่เน้นหนักพืชพลังงานมากเกินไป หากให้แยกเป็นหลายชนิดแล้ว ในปีนี้ราคาอ้อยจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่อ่อนตัว ราคายางพาราจะขยายตัวจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่กำลังดีขึ้น ขณะที่ปาล์มน้ำมัน ราคาจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เพราะสต๊อกปริมาณน้ำมันปาล์มของโลก กำลังต่ำสุดในรอบะ 5 ปีขณะนี้
นายพินิจ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับปัจจัยเสี่ยงในการผลิตสินค้าเกษตรปีนี้ ยังคงเกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน การแข็งค่าของเงินบาท และสถานการณ์เงินเฟ้อ ซึ่งปัจจัยเงินเฟ้อนี้ แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย จะประกาศว่า เงินเฟ้อปีนี้จะอยู่ที่ร้อยละ 3 ซึ่งหากคิดในภาพรวมอาจกระทบกับเศรษฐกิจไม่มาก แต่หากมองในแง่กำลังซื้อของเกษตรกร พบว่า มีสัดส่วนลดลง จึงมอบให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หรือ สศก. ศึกษาว่าจะเพิ่มกำลังซื้อให้ภาคเกษตรได้อย่างไร
นายพินิจ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับปัจจัยเสี่ยงในการผลิตสินค้าเกษตรปีนี้ ยังคงเกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน การแข็งค่าของเงินบาท และสถานการณ์เงินเฟ้อ ซึ่งปัจจัยเงินเฟ้อนี้ แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย จะประกาศว่า เงินเฟ้อปีนี้จะอยู่ที่ร้อยละ 3 ซึ่งหากคิดในภาพรวมอาจกระทบกับเศรษฐกิจไม่มาก แต่หากมองในแง่กำลังซื้อของเกษตรกร พบว่า มีสัดส่วนลดลง จึงมอบให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หรือ สศก. ศึกษาว่าจะเพิ่มกำลังซื้อให้ภาคเกษตรได้อย่างไร
