จากกระแสทีม “หมอนทองวิทยา” ทีมฟุตบอลจากโรงเรียนหมอนทองวิทยา อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ที่ได้ขึ้น “รถขนฝัน” คันน้อยฝ่าฟันมาถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลนักเรียน 7 คน รายการ “แชมป์กีฬา 7HD” แม้ผลการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 8 พ.ย. 2568 ทีมหมอนทองวิทยาจะพ่ายแพ้ให้กับทีม อบจ. ชัยนาท ไปอย่างเฉียดฉิว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าน้องๆ ในทีม รวมถึง “อ.สกล” โค้ชผู้ทุ่มเทคนนี้ ที่ได้ใจแฟนบอลและชาวเน็ตไปเต็มๆ
และหลังจากที่จบการแข่งขันอันดุเดือดนี้ อาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ หรือ “อ.สกล” ก็ได้พาน้องๆ ในทีมหมอนทองวิทยาขึ้นรถขนฝันคันเดิม มาพบปะแฟนๆ ที่งานนมัสการ หลวงพ่อโสธร 2568 ที่วัดโสธรวรารามวรวิหาร วัดดังแห่งเมืองแปดริ้ว ไปเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 68 เรียกว่าตอนนี้ทีมหมอนทองวิทยากำลังฟีเวอร์จนแฟนๆ แห่มาให้กำลังใจกันจำนวนมาก
ซึ่งหากแฟนบอลคนไหนอยากจะมาเยือนเมืองแปดริ้ว บ้านเกิดของทีมฟุตบอลโรงเรียนหมอนทองวิทยา ขอแนะนำ 9 ที่เที่ยวสายมูให้กราบไหว้ขอพรเป็นสิริมงคล ก่อนเที่ยวในสถานที่อื่นๆ ใน จ.ฉะเชิงเทรา กันต่อ
1. วัดโสธรวรารามวรวิหาร
เริ่มกันที่ “วัดโสธรวรารามวรวิหาร” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “วัดหลวงพ่อโสธร” เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแปดริ้ว ที่มีประวัติการสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สำหรับภายในวัดหลวงพ่อโสธร เป็นสถานที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อพระพุทธโสธร” หรือ “หลวงพ่อโสธร” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพสักการะของชาวแปดริ้วและประชาชนทั่วไป ใครผ่านไปผ่านมาในเมืองแปดริ้ว ก็จะต้องแวะมาสักการะหลวงพ่อเพื่อความเป็นสิริมงคลอยู่เสมอ
2. วัดโพรงอากาศ
หากใครได้มาเยือนถึงถิ่นโรงเรียนหมอนทองวิทยาที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว ต้องแวะมามูที่ “วัดโพรงอากาศ” อีกหนึ่งวัดดังของที่นี่ ซึ่งภายในวัดนี้มี “องค์พระพิฆเนศปางนั่งประธานพร” พระพิฆเนศองค์นี้อยู่ในท่านั่งบนตั่ง มีความสูง 49 เมตร ไม่รวมฐาน และกว้าง 19 เมตร ผิวเนื้อเป็นสีชมพู มีหัตถ์ทั้งหมด 4 กร และมีงูใหญ่สีดำอยู่ข้างเอว และบนศีรษะสวมพระมาลา (หมวก) ถ้าสังเกตให้ดี บนด้านหน้าหมวกนั้นมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ซึ่งคือองค์หลวงพ่อโสธรจำลอง ขนาดหน้าตักกว้าง 60 นิ้ว
โดยพระพิฆเนศปางนั่งประทานพร จะตั้งอยู่ข้าง “พระอุโบสถมหาเจดีย์” ที่มีขนาดใหญ่สีทอง มีความสวยงามไม่แพ้พระพิฆเนศปางนั่งประทานพรเลยทีเดียว และนอกจากนั้นยังสามารถมองเห็นได้แต่ไกลอีกด้วย
3. วัดสมานรัตนาราม
แน่นอนว่าอีกหนึ่งวัดดังขึ้นชื่อคู่เมืองแปดริ้วที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ ก็คือ “วัดสมานรัตนาราม” วัดนี้มีพระพิฆเนศปางนอนเสวยสุของค์ใหญ่ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง
พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุของค์นี้ มีเนื้อองค์เป็นสีชมพู มีขนาดความสูง 16 เมตร และความกว้าง 14 เมตร ลักษณะกึ่งนอนตะแคงบนฐาน พระหัตถ์บนด้านขวาทรงเชือกบ่วงบาศก์ ที่ทรงใช้ในการนำพามนุษย์ไปสู่เส้นทางแห่งธรรมะ และหลุดพ้นพร้อมทรงขจัดอุปสรรคในระหว่างทาง พระหัตถ์บนซ้ายทรงเชือกขอสับ ที่ใช้ในการป้องกันและพันฝ่าความยากลำบาก พระหัตถ์ขวาล่างทรงงาที่หักครึ่ง เป็นสัญลักษณ์แห่งความเสียสละ พระหัตถ์ขวาด้านบนถือดอกบัว
ด้านหน้าฐานพระพิฆเนศ จะเห็นปูนปั้นรูปหนูอยู่สองตัว ที่ยืนทำมือป้องหูไว้ ตามประวัติเล่าว่า พระพิฆเนศมีหนูเป็นบริวาร และในความเชื่อของผู้ที่เคารพและสักการะขอพรเป็นประจำ เชื่อว่าถ้าอยากได้สิ่งใด ขอพรสิ่งใดให้สมหวัง ให้ไปกระซิบที่หูหนู แล้วเจ้าหนูบริวารนี้จะนำความไปบอกท่านพระพิฆเนศ ให้ประทานสิ่งที่ต้องการกลับมา และที่สำคัญอย่าลืมติดสินบนหนูด้วย โดยการทำบุญใส่ตู้ที่วางไว้ด้านหน้า
4. เทวสถานอุทยานพระพิฆเนศคลองเขื่อน
นอกจากนั้นยังมีพระพิฆเนศอีกหนึ่งองค์ที่จะชวนไปกราบขอพรอยู่ที่ “เทวสถานอุทยานพระพิฆเนศคลองเขื่อน” อ.คลองเขื่อน ที่นี่จะมี “พระพิฆเนศปางยืน องค์สำริด สำเร็จ สมปรารถนา” มีขนาดสูงถึง 39 เมตร เนื้อองค์ทำจากสำริด พระหัตถ์ทั้ง 4 นั้นถือ ดอกบัว, มะม่วง, กล้วย, อ้อย และขนุน และที่พระบาทมีหนูกอดลูกมะพร้าว ซึ่งมีความหมาย คือ ความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน
องค์พระพิฆเนศปางยืน เนื้อสำริดนี้ จะตั้งเด่นตระหง่านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง บริเวณ อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา นอกจากนั้นภายในเทวสถานอุทยานฯ แห่งนี้ ยังมีการก่อสร้างสิ่งสักการะอีกหลายอย่าง เพื่อให้ประชาชนที่นับถือมากราบไหว้บูชา
5. วัดปากน้ำโจ้โล้
อีกหนึ่งวัดสวยสุดอันซีนที่อยากชวนแวะก็คือ “วัดปากน้ำโจ้โล้” ตั้งอยู่ที่ อ.บางคล้า ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง เป็นวัดในสมัยอยุธยาตอนปลายสร้างประมาณ 200 กว่าปีมาแล้ว แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใดในอดีตบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของทัพพม่า ซึ่งยกทัพบกและทัพเรือมาปะทะกับกองทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชผลการสู่รบพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีชัยเหนือพม่า จึงโปรดฯ ให้สร้างเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์
มาถึงไฮไลต์เด่นของที่วัดนี้ก็คือ “พระอุโบสถสีทอง” เป็นอุโบสถสีทองหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ทาสีทองทั้งหลังซึ่งสีทองเป็นเสมือนการจำลองภาพบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนด้านในยังคงใช้สีทองทั้งหมด อีกหนึ่งไฮไลต์ของที่วัดก็คือการลอดใต้ฐานพระประธานในพระอุโบสถเพื่อความเป็นสิริมงคล ส่วนด้านขวาของพระอุโบสถมีพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรองค์ใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่
และล่าสุดบริเวณลานด้านหน้าฝั่งแม่น่ำบางปะกงได้มีการสร้างรูปเคารพ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” องค์สีทองอร่ามยืนเด่นเป็นสง่า เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงชัยชนะในการปราบทัพพม่าที่บริเวณนี้ในอดีตอีกด้วย
6. วัดหงษ์ทอง
ต่อที่ “วัดหงษ์ทอง” ที่ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กใหม่แห่งเมืองแปดริ้ว โดยในอดีตปี 2534 วัดหงษ์ทองที่ตั้งอยู่ริมทะเลได้เผชิญกับปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะตลิ่งมาอย่างต่อเนื่อง ได้ถูกน้ำทะเลกัดเซาะจนเหลือพื้นที่เพียง 8 ไร่ (จากพื้นที่เดิมที่ระบุในโฉนด 21 ไร่ 2 งาน) ทำให้สิ่งก่อสร้างส่วนหนึ่งที่เคยตั้งอยู่ริมทะเล ถูกน้ำกินพื้นที่เข้ามาจนปัจจุบันกลายเป็นสิ่งก่อสร้างในทะเลไปโดยปริยาย
ทำให้ในปัจจุบันวัดหงษ์สร้างมีสิ่งปลูกสร้างถาวรวัตถุและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ทั้งบนฝั่ง (บนบก) และในทะเล ซึ่งโซนพื้นที่ในทะเลจะมี “สะพานบุญ” ทอดยาวออกไปในทะเล ซึ่งเป็นดังพื้นที่ไฮไลต์สำหรับท่องเที่ยว ถ่ายภาพ และกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของทางวัด
สุดสะพานบุญจะเป็น “ซีวอล์ค” (Sea Walk) ทางเดินพื้นกระจกใสยื่นไปในทะเลแห่งแรกของเมืองไทย มีความกว้าง 3 เมตร ยาว 40 เมตร ใช้กระจก 240 แผ่น พื้นกระจกหนา 3 ชั้น สามารถรองรับน้ำหนักคนได้ประมาณ 200 คน ยามที่เราเดินตอนน้ำขึ้นสูงจะให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนน้ำทะเลเลยทีเดียว
7. วัดจีนประชาสโมสร (เล่งฮกยี่)
“วัดจีนประชาสโมสร” (เล่งฮกยี่) วัดจีนเก่าแก่ ที่ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวจีน และชาวไทยเชื้อสายจีนมานาน เป็นวัดที่สร้างสืบเนื่องมาจากวัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน่ยยี่) ในเขตเยาวราช กรุงเทพมหานคร
บริเวณด้านในของวัด ที่จะต้องพบเห็นเป็นอันดับแรกคือ ท้าวจตุโลกบาลองค์ใหญ่ 4 องค์ เป็นดั่งทวารบาลคอยปกปักรักษาทิศทั้ง 4 เป็นองค์ขนาดใหญ่ จัดวางไว้เป็นคู่ ทั้งด้านซ้ายและขวา ภายในวิหารส่วนกลางของวัด เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ ได้แก่ พระอมิตาภพุทธเจ้า พระศรีศากยมุนี พระไภษัชคุรุพุทธเจ้า เชื่อว่าท่านช่วยเรื่องบำบัดปัดเป่า รักษาโรคภัยไข้เจ็บ
8. วัดอุภัยภาติการาม (ซำปอกง)
“วัดอุภัยภาติการาม” หรือที่คนเรียกกันติดปากว่า “วัดซำปอกง” เป็นวัดที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต (ซำปอกง) พระประธานองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดฉะเชิงเทรา และเป็นหลวงพ่อซำปอกง 1 ใน 3 องค์ในประเทศไทย เป็นพระศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวไทย และชาวไทยเชื้อสายจีน
หลวงพ่อโต (ซำปอกง) ที่วัดอุภัยภาติการาม เป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 6.5 เมตร สูง 12 เมตร สร้างโดยใช้ภาชนะสานด้วยไม้ไผ่ เอามาก่อซ้อนกันเป็นรูปองค์พระ ด้านนอกฉาบด้วยปูน แล้วจึงลงรักปิดทอง พุทธลักษณะเป็นปางมารวิชัย พระพักตร์ทรงเหลี่ยม พระกรรณยาว (หูยาว) รูปหน้าพระซำปอกงที่วัดอุภัยภาติการาม จะคล้ายจะพระพุทธรูปจีนมากกว่า และที่ระหว่างคิ้วจะไม่มีเครื่องหมายอุณาโลมเหมือนกับหลวงพ่อโต ที่วัดพนัญเชิง
9. วัดพระธาตุวาโย
ปิดท้ายที่ “วัดห้วยน้ำทรัพย์” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “วัดพระธาตุวาโย” เป็นวัดที่มีชื่อเสียงในเขต อ.สนามชัยเขต โดยไฮไลต์ของวัดที่ใครมาเยือนแล้วจะต้องไม่พลาด ก็คือ “หลวงพ่อปลดหนี้” พระพุทธรูปปางชนะมาร หรือ ปางมารวิชัย ตั้งอยู่ภายในวิหารหลวงพ่อปลดหนี้ ซึ่งมีความเชื่อกันว่าหากใครมาขอพรเรื่องที่เกี่ยวกับการปลดหนี้สิน โชคลาภ หรือการทำมาค้าขาย ก็จะสมหวังดังปรารถนา
และนอกจากหลวงพ่อปลดหนี้แล้ว ภายในวัดยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย อย่างเช่น “องค์พระมหาธาตุเจดีย์”ที่ตั้งอยู่โดดเด่นสวยงาม มีความสูงประมาณ 39 เมตร ส่วนภายในองค์เจดีย์ เป็นโถงขนาดใหญ่เน้นสีเหลืองทองอร่าม ประดับด้วยลวดลายไทยสวยงาม ตรงกลางมีเสาแกนกลางเจดีย์ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางยืน 5 องค์ ประทับยืนหันหน้าออกจากเสา
ที่ชั้น 2 ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ มากมาย ส่วนชั้น 3 เป็นชั้นบนสุดของพระมหาเจดีย์ ชั้นนี้จะเปิดให้ขึ้นไปชมได้เฉพาะในวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น ชั้นนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพอ่างเก็บน้ำลาดกระทิงในมุมกว้าง
และนี่คือ 9 ที่เที่ยวสายมูแห่งเมืองแปดริ้ว บ้านเกิดของน้องๆ นักเตะทีมโรงเรียนหมอนทองวิทยา ที่กำลังฟีเวอร์และได้ใจแฟนบอลชาวไทยและชาวเน็ตอย่างล้นหลามอยู่ในขณะนี้
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline


