สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็นองค์อัครราชูปถัมภิกาของพสกนิกรชาวไทย ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) มาตลอดรัชสมัยอันยาวนานกว่า 70 ปี พระราชกรณียกิจนานัปการของพระองค์ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงพระวิริยอุตสาหะและความทุ่มเทเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาประชาราษฎร์เท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, การส่งเสริมอาชีพและศิลปาชีพ, และ การสาธารณสุข
หนึ่งในพระราชกรณียกิจที่โดดเด่นของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ คือการจัดตั้งและพัฒนา สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ (Queen Sirikit Botanic Garden - QSBG) ตั้งอยู่ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
องค์การสวนพฤกษศาสตร์ได้รับการจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2535 ซึ่งเป็นปีมหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา 5 รอบของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนพฤกษศาสตร์ พ.ศ.2535 โดยมีสถานภาพเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 109 ตอน 40 ลงวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2535 โดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็น ผู้กำกับดูแลและวางนโยบายร่วมกับคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ให้องค์การมีความก้าวหน้าในระดับนานาชาติให้ประเทศไทยมีสวนพฤกษศาสตร์ที่ได้ระดับมาตรฐานสากล และเป็นสถานที่เชิดชูความงามและคุณค่าพรรณไม้ไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก
ในปี พ.ศ. 2537 ทางองค์การฯ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พระราชทาน พระราชานุญาต จากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ให้ใช้ชื่อสวนพฤกษศาสตร์ในภาคเหนือขององค์การฯ ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ว่า “สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์” Queen Sirikit Botanic Garden ในปี พ.ศ.2545 รัฐบาลมีนโยบายในการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม โดยนำหน่วยงานราชการที่มีภารกิจคล้ายคลึงกันไว้ในหน่วยงานเดียว องค์การสวนพฤกษศาสตร์จึงได้โอนย้ายจากสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีมาสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 119 ตอนที่ 102 ก ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2545
สำหรับแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยวภายในสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ดังนี้
เส้นทางศึกษาธรรมชาติเหนือเรือนยอดไม้ (Canopy Walk)
เป็นเส้นทางเดินชมธรรมชาติภายในสวนพฤกษศาสตร์ฯ ถูกออกแบบอย่างลงตัวด้วยโครงสร้างเหล็กกล้า ฉาบด้วยสีเทาอมเขียวกลมกลืนกับสภาพธรรมชาติโดยรอบ ซึ่งระยะทางบางช่วงยังคงสร้างความตื่นเต้นสำหรับนักท่องเที่ยวที่กลัวความสูง แต่มีราวกั้น ซึ่งเชื่อมั่นได้เลยว่าแข็งแรงมั่นคงและปลอดภัยอย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่ความตื่นเต้นสนุกสนาน และความงามของทัศนียภาพที่นักท่องเที่ยวจะได้รับจากเส้นทางนี้ ความรู้ทางพฤกษศาสตร์ ที่เข้าใจง่าย ผ่านป้ายสื่อความหมายที่จัดแสดงไว้ตลอดระยะทางการเดินชม
สำหรับประสบการณ์สุดพิเศษที่นักท่องเที่ยวจะได้รับจากเส้นทางศึกษาธรรมชาติเหนือเรือนยอดไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยระยะทางกว่า 500 เมตร และที่ระดับความสูงเหนือพื้นดินกว่า 20 เมตร คือ ทัศนียภาพที่สวยงามของทิวยอดไม้ในแบบ พาโนราม่า ที่แต่งแต้มไปด้วย ฉากสุดอลังการของต้นไม้ ภูเขา รวมไปถึงทะเลหมอกจางๆ ที่ลอยละล่องเหนือปลายยอดไม้ หากมาเดินชมช่วงปลายฝนต้นหนาว พร้อมกับชม ความงามของแสงสุดท้ายของวันด้วยหัวใจที่เต็มอิ่มกับความสุขท่ามกลางปลายทิวสนสามใบเหนือยอดเขาระดับความสูงกว่า 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งเปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม 2558 พรรณไม้เด่น อาทิ เสี้ยวเครือดอกขาว จำปาทอง สัก ตะแบก ทองหลางป่า ทะโล้ มะหาด กล้วยป่า เป็นต้น
กลุ่มอาคารเรือนกระจกเฉลิมพระเกียรติ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นสถานที่รวบรวมและจัดแสดงพรรณไม้ที่มีความโดดเด่น พรรณไม้หายากและใกล้สูญพันธุ์ จากหลากหลายระบบนิเวศ จัดแสดงไว้ในโรงเรือนให้คล้ายคลึงกับลักษณะที่พืชขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี พร้อมกับชมนาฬิกาดอกไม้เรืองแสงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 เมตร มีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับสีสันสดใสตามฤดูกาลภายในหน้าปัดของนาฬิกา จึงเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจเมื่อเดินทางมาเยือนสถานที่แห่งนี้
- เรือนป่าดิบชื้น (Tropical Rainforests) เป็นโรงเรือนที่ใหญ่ที่สุด ที่จัดแสดงสภาพป่าและพันธุ์ไม้ในป่าดิบชื้น พืชเฉพาะถิ่นและพืชหายากทางภาคใต้ อาทิ เถาใบสีทอง ปาล์มเจ้าเมืองตรัง ปาล์มเจ้าเมืองถลาง ปาล์มบังสูรย์ กะทือพิลาส หมากแดง กล้วยศรีนรา และดาหลาขาว ภายในโรงเรือนมีการสร้างบรรยากาศให้มีความชุ่มชื้นสูงด้วยระบบไอน้ำพ่นฝอยอัตโนมัติ เพื่อให้ภายในโรงเรือนมีความชื้นทั่วถึง ทุกจุด นอกจากนี้ยังมีการปรับภูมิทัศน์ให้มีความสวยงามด้วยน้ำตกและถ้ำมีทางเดินยกระดับสามารถเดินชมเรือนยอดพรรณไม้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมความสวยงามของเรือนยอดพืชจากมุมสูงอย่างทั่วถึง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาสัมผัสกับธรรมชาติในเรือนแห่งนี้
- เรือนไม้น้ำ (Water Plants) ภายในมีการจัดแสดงไม้น้ำ ทั้งพันธุ์บัวของไทย และจากต่างประเทศ อาทิ บัวหลวง บัวสาย และบัวกระด้ง บัวมีหนามที่มีลักษณะใบใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งการจัดตกแต่งเสริมด้วยพรรณไม้น้ำ ไม้ชุ่มน้ำชนิดต่าง ๆ อาทิ กกอียิปต์ กกลังกา กระจูด พลับพลึงดอกขาว
- เรือนกล้วยไม้และเฟิน (Orchids and Ferns) ภายในมีการจัดแสดงกล้วยไม้และเฟิน โดยจัดปลูกกล้วยไม้ไทยและกล้วยไม้ลูกผสมตลอดทั้งปี เช่น ว่านเพชรหึงหรือว่านหางช้าง กล้วยไม้ที่มี ลำต้นใหญ่ที่สุดในโลก วนิลา กล้วยไม้ที่มีลำต้นยาวที่สุดในโลก ฝักมีกลิ่นหอม ใช้ทำขนมหรือไอศกรีม และกล้วยไม้ลูกผสมหลากหลายสายพันธุ์ อาทิ กล้วยไม้ลูกผสมสกุลหวาย (Dendrobium sp.) สกุลแวนด้า (Vanda sp.) สกุลอิพิเดนดรัม (Epidendrum sp.) เสริมพื้นล่างด้วยเฟินนานาชนิด อาทิ เฟินกีบแรด เฟินแม่ลูกอ่อน เฟินก้านดำ เฟินชายผ้าสีดา อีกทั้งและเพิ่มความหลากหลายด้วยการจัดภูมิทัศน์เลียนแบบธรรมชาติ ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมกับบรรยากาศที่เย็นสบายภายในโรงเรือนนี้
- เรือนพืชทนแล้ง (Arid Plants) เป็นความมหัศจรรย์ของพืชที่มีการปรับตัวให้สามารถ อยู่ในสภาพแห้งแล้งได้ ประกอบด้วยพืชกลุ่มกระบองเพชร พืชอวบน้ำ ด้วยลักษณะของพืชทนแล้งที่มีรูปร่างแปลกตา ดอกกระบองเพชรหลากหลายสีสัน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่รักการถ่ายภาพใช้เวลาอยู่ภายในเรือนนี้เป็นเวลานาน เพื่อเก็บภาพประทับใจ อาทิ ถังทองหรือเก้าอี้แม่ยาย กระบองเพชรจากทวีปอเมริกา ลำต้นกลม ขนาดใหญ่ ดอกสีเหลือง เฒ่าหัวหงอก กระบองเพชร ที่มีขนสีขาวยาว มองคล้ายผมของผู้เฒ่า ปีศาจทะเลทราย พืชโบราณ พบในเฉพาะประเทศนามิเบีย ทวีปอัฟริกาเท่านั้น ใบสีเขียวยาว ปลายใบ แห้งม้วนงอ นอกจากนี้ยังมีพืชอวบน้ำต่างๆ อาทิ กุหลาบหิน ว่านหางจระเข้ และป่านศรนารายณ์ ชนิดต่างๆ และพืชที่หาดูได้ยากจากเกาะมาดากัสการ์
- เรือนพืชกินแมลง (Carnivorous Plants) จัดแสดงพืชกินแมลง พืชที่มีการปรับตัว ให้อยู่รอด โดยมีการเปลี่ยนแปลงส่วนของใบ เพื่อดักจับแมลง อาทิ หม้อข้าวหม้อแกงลิง พืชกินแมลง ที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีส่วนที่คล้ายหม้อสำหรับดักจับแมลง หยาดน้ำค้าง พืชกินแมลง ที่มีเมือกเหนียวคล้ายหยดน้ำสำหรับดักจับแมลง กาบหอยแครง และกระบอกจอกสูง พืชกินแมลงจากทวีปอเมริกา
- เรือนพืชสมุนไพร (Medicinal plants) จัดแสดงพืชสมุนไพรไทย กว่า 150 ชนิด มีป้ายสื่อความหมายบอกชื่อของสมุนไพรและบอกสรรพคุณของพืชสมุนไพรชนิดนั้นๆ อาทิ ฟ้าทะลายโจร หญ้าหนวดแมว หนุมานนั่งแทน ย่านาง เล็บครุฑ จิงจูฉ่าย เป็นต้น
- เรือนสับปะรดสี (Bromeliads) รวบรวมพืชกลุ่มสับปะรดสีหลากหลายสายพันธุ์ สับปะรดสีเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกา เป็นพืชกลุ่มเดียวกับสับปะรด แต่ไม่ค่อยติดผล ลักษณะของใบมีลวดลายและมีสีสันที่สวยงาม จึงนิยมปลูกเป็นพืชประดับสำหรับจัดตกแต่งสวน ขยายพันธุ์ได้ง่ายโดยการแยกหน่อ
- เรือนพฤกษศาสตร์พื้นบ้าน (Ethnobotany) เป็นเรือนที่จัดแสดงตัวอย่างภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการใช้ประโยชน์จากพืชที่เด่น โดยเฉพาะสมุนไพรและพืชผักพื้นบ้านจาก 5 กลุ่มชาติพันธุ์ทางภาคเหนือ ได้แก่ ม้ง ไทใหญ่ ลัวะ กะเหรี่ยงและไท-ยวน
- เรือนไม้ใบ (Foliage Plants) เป็นเรือนที่รวบรวมและจัดแสดงพืชที่มีความโดดเด่นและความแปลกของใบทั้งรูปทรง ลวดลาย สีสันที่สวยงามแปลกตา นิยมนำไปจัดประดับตกแต่งอาคารสถานที่ บ้านเรือน เพื่อความสวยงาม ภายในเรือนมีพรรณไม้โดดเด่น อาทิ ส้มกุ้ง บอนชนิดต่างๆ และไม้ประดับที่สามารถปลูกในร่มได้
- เรือนไม้ใบ (Foliage Plants) เป็นเรือนที่รวบรวมและจัดแสดงพืชที่มีความโดดเด่นและความแปลกของใบทั้งรูปทรง ลวดลาย สีสันที่สวยงามแปลกตา นิยมนำไปจัดประดับตกแต่งอาคารสถานที่ บ้านเรือน เพื่อความสวยงาม ภายในเรือนมีพรรณไม้โดดเด่น อาทิ ส้มกุ้ง บอนชนิดต่างๆ และไม้ประดับที่สามารถปลูกในร่มได้
สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
ตั้งอยู่ที่ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น.
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก: สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline


