xs
xsm
sm
md
lg

รู้จัก “อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท” ชมภาพเขียนสีโบราณ-ตำนานที่เล่าขานนับพันปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หากพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวที่ผสมผสานความงดงามของธรรมชาติเข้ากับประวัติศาสตร์โบราณอย่างกลมกลืน “อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท” จังหวัดอุดรธานี คือหนึ่งในสถานที่ที่ต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยโขดหินรูปร่างแปลกตาที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ หากแต่ยังเป็นที่ตั้งของภาพเขียนสี โบราณสถาน และตำนานที่เล่าขานมานานนับพันปี

“อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท” ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาภูพาน ครอบคลุมพื้นที่ 3,430 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขือน้ำ บ้านติ้ว ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดระยะทาง 67 กิโลเมตร เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม โดยเป็นมรดกโลกแห่งที่ 8 ของไทย และเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 5 ของไทย วันนี้จะชวนทุกคนมาชมจุดไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาด เมื่อมาเยือนสถานที่แห่งนี้

จากการสำรวจทางโบราณคดีที่ผ่านมาได้พบว่าบนภูพระบาทแห่งนี้ปรากฏร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์กำหนดอายุได้ราว 2,500 – 3,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคก่อนส่วนหนึ่งพักอาศัยอยู่บนโขดหินและเพิงผาธรรมชาติ มีหลายจุดในภูพระบาทที่พบสถานที่ ซึ่งสันนิษฐานว่าเคยเป็นที่อยู่อาศัย


คอกม้าท้าวบารส
เพิงหินมีการสกัดแต่งเป็นที่นั่งวิปัสสนาและพักอาศัย มีร่องรอยการทําเสาลูกกรงล้อมรอบเพื่อป้องกันสัตว์ร้ายตามต่านานกล่าวว่าเป็นที่ผูกม้าของท้าวบารส

ลักษณะเป็นโขดหินทรายขนาดใหญ่ 2 ก้อน วางซ้อนกัน หินก้อนบนมีขนาดใหญ่กว่าก้อนล่าง และมีรูปทรงที่แผ่กว้างคล้ายรูปดอกเห็ด ขนาดแผ่นหิน กว้าง - ยาว 10x15 เมตร เกิดเป็นร่มขนาดใหญ่เบื้องล่าง หินก้อนล่างมีร่องรอยการสกัดตกแต่งเป็นห้อง ขนาดใหญ่ 2 ห้อง ที่ห้องใหญ่สลักพื้นเป็น 2 ระดับ ขอบหินด้านนอกตกแต่งเป็นสันสูงขึนโดยรอบ และยังมีการสกัดหลุมกลม ขนาดเล็กเรียงเป็นแถวอยู่บนสันขอบ สันนิษฐานว่าเดิมอาจมีเสาไม้ตั้งเรียงอยู่ระหว่างขอบพื่นห้องกับเพดาน คล้ายลูกกรง เพื่อป้องกันสัตว์ ส่วนห้องเล็กด้านทิศตะวันออก เป็นห้องพื้นเรียบผนัง


ถ้ำฤาษี 
เพิงหินสูงที่มีใบเสมาล้อมรอบ ตามตํานานอุสาบารส กล่าวว่าเป็นที่อยู่ของฤาษีจันทา ซึ่งเป็นอาจารย์ของพระยากงพานและนางอุสา

ถ้ำวัว - ถ้ำคน
เพิงหินมีภาพเขียนสีแดงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ อายุราว 2,500-3,000 ปีมาแล้ว ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้คือ ถ้ำวัวมีภาพฝูงสัตว์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรูปวัวและลูกวัว ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือคือถ้ำคนมีรูปกลุ่มคนบนผนังถ้ำและรูปคนเดี่ยวๆ บนเพดานถ้ำ


ถ้ำคนเป็นเพิงหินธรรมชาติที่พบภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์อายุราว 2,000-3,000 ปีมาแล้ว จํานวน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 อยู่ที่ผนัง เขียนด้วยสีแดงแบบเงาทีบและแบบลายเส้นโครงร่าง เป็นภาพคน 7 คน แสดงลักษณะของกล้ามเนื้อส่วนน่องที่โป่งนูนออกมาชัดเจน มีทั้งคนยืนหันข้างและหันหน้าตรง กางแขนกางขาจนเห็นนิ้วมือครบทั้ง 5 นิ้ว บางคนแสดงลักษณะ ของอวัยวะเพศชายและแสดงอิริยาบถที่แตกต่างกัน กลุ่มที่ 2 อยู่ที่ผนังและเพดานหินด้านบน ประกอบด้วยภาพคน 3 คน เขียนแบบเงาทึบ แสดงลักษณะของกล้ามเนื่อ ยืนหันข้าง ในลักษณะกําลังก้าวเดิน จํานวน 2 คน และอีก 1 คน แสดงลักษณะ คล้ายยืนหันหลัง ในมือถือวัตถุคล้ายบันไดหรือไม้ และพบภาพเขียนลายเส้นสีขาวร่วมอยู่ด้วย


หอนางอุสา
เอกลักษณ์อันโดดเด่นของอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นโขดหินสูง ประมาณ 9.50 เมตร คนโบราณดัดแปลงทำเป็นห้องขนาดเล็กมีประตูหน้าต่างไว้ใต้เพิงหินด้านบน อาจใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหรือเป็นที่นั่งวิปัสสนาของบุคคลสําคัญ บนลานหินด้านล่างมีใบเสมาหินทรายล้อมรอบ แสดงเขตศักดิ์สิทธิ์ในพุทธ
ศาสนา ตามตํานานกล่าวว่าเป็นที่อยู่ของนางอุสาเมื่อครั้งเรียนวิชากับฤาษีจันทา

ลักษณะเป็นเสาเฉลียงรูปดอกเห็ด ประกอบด้วยแกนหินขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายเสาหิน และมีก้อนหินเป็นแผ่นหนาขนาดใหญ่ ทับอยู่ด้านบนแกนหินสูง 10 เมตร ก้อนหินด้านบน กว้าง 5 เมตร ยาว 7 เมตร แกนของเสาหินมีการก่อหินกั้นเป็นห้องไว้ ส่วนบนของเสาที่อยู่ใต้แผ่นหิน มีการเจาะช่องเป็นช่องๆ เป็นประตูและหน้าต่างคล้ายช่องสังเกตการณ์ ลักษณะคล้ายหอคอย ที่เพิงหินแห่งนี้ได้พบหลักฐานภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่บริเวณผนังด้านทิศเหนือของหินก้อนล่าง เป็นภาพเส้น 2-3 เส้น ปัจจุบันภาพลบเลือนไปมากแล้ว การปักสีมาล้อมรอบแปดทิศเพื่อแสดงว่าเพิงหินนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ประดิษฐาน รูปเคารพ หรืออาจใช้เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา ปัจจุบันสีมาเหลืออยู่จํานวน 7 หลัก ซึ่งแต่เดิม น่าจะครบ 8 หลัก


ถ้ำช้าง
เพิงหินที่มีภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นรูปเส้นหยัก และภาพเขียนสีสมัยประวัติศาสตร์รูปช้างซึ่งบริเณใกล้เคียงกัน


หีบศพพ่อตา
ลักษณะของเพิงหินที่เกิดจากหินทรายสามก้อนวางทับกัน มีร่องรอยการสกัดตกแต่งหินก้อนล่าง ทําให้เกิดเป็นห้องโล่งอยู่ทั้งสองข้าง เป็นห้องสี่เหลี่ยม มีห้องใหญ่และห้องเล็ก ๆ ลดระดับกันหลายห้อง อาจใช้เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพ หรือเป็นห้องสําหรับนั่งจําศีล ที่เพดานด้านบนของห้องด้านทิศตะวันตกหรือเรียกกัน อีกชื่อว่า "ถํามือแดง" มีร่องรอยภาพเขียนสีสีแดงเป็นภาพฝ่ามือข้างขวาของคน ภาพลายเส้นภาพตาข่าย ภาพลายเส้นโด้งคู่สลับลายหยักฟันปลาและภาพลายเส้นภาพคล้ายรวงผึ้ง


หีบศพท้าวบารส
เป็นเพิงหินที่เกิดจากหินทรายสองก้อนวางทับกัน มีร่องรอยการสกัดตกแต่งหินก้อนล่างเป็นห้องโล่ง ทางด้านทิศเหนือของเพิงหินมีการสกัดลานหินด้านหน้าเรียบโค้งไปตามขอบหิน และพบการเจาะสกัด เป็นหลุมกลมอยู่ตามแนวขอบลานหิน สันนิษฐานว่าใช้ในการค้ายันด้วยเสาไม้หรือสร้างเป็นรั้วเพื่อป้องกันสัตว์ หรือใช้เป็นหลุมตะคันเพื่อจุดไฟให้แสงสว่างในเวลากลางคืน ห้องนี้อาจใช้เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพ หรือเป็นห้องสําหรับนั่งจําศีล บริเวณเพดานของเพิงหินมีภาพเขียนสีสีแดงเป็นภาพเส้นตรงและภาพสีเหลี่ยม


หีบศพนาอุสา
เป็นเพิงหินที่เกิดจากหินทราย 2 ก้อนวางทับกัน เพิงหินมีขนาดกว้าง-ยาว 5x6 เมตร ลักษณะเป็นแกนหิน ขนาดเล็กสองข้างค้ายันหินก้อนใหญ่ที่ซ้อนทับด้านบน คล้ายกับโต๊ะหิน และมีช่องทางเข้าไปภายใน มีร่องรอยการสกัดตกแต่งหินก้อนล่างเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก กว้างประมาณ 2 เมตร มีเพดานค่อนข้างเตี้ย จนไม่สามารถยืนหรือเดินไปมาได้ แต่สามารถใช้เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพหรือเข้าไปนั่งทํากิจกรรมทางศาสนาได้ เช่น การนั่งสมาธิ


วัดพ่อตา
เพิงหินที่มีการสกัดทําเป็นห้องประดิษฐานพระพุทธรูปรอบแกนหินที่ค้ำหลังคา ตามตํานานกล่าวว่า เป็นวัดที่พระยากงพานสร้างแข่งกับท้าวบารส ซึ่งสร้างวัดลูกเขย เมื่อครั้งที่ท้าวบารสมาสู่ขอนางอุสา


ลักษณะเป็นเพิงหินขนาดใหญ่ที่เกิดจากหินทรายสองก้อนวางทับกัน หินก้อนล่างมีขนาดเล็กกว่าหินก้อนบน ที่บริเวณผนังหิน ตรงส่วนแกนกลางและพื้นหินด้านล่างมีร่องรอยการสกัดตกแต่งจนกลายเป็นห้องเรียบทั้งสองด้าน พื้นล่างถูกสกัดตกแต่ง เป็นลานเรียบ และพบการเจาะสกัดเป็นหลุมกลม เรียงกันไปตามแนวขอบลานหิน สันนิษฐานว่าใช้สําหรับติดตั้งเสาไม้ เพื่อค้ายันหินก้อนบนและอาจกั้นด้วยเครื่องไม้เพื่อใช้เป็นผนังของห้อง บริเวณมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้บนผนังแกนหิน ก้อนล่าง มีร่องรอยการระบายสีแดงเป็นภาพประภามณฑลของพระพุทธรูป 3 องค์ เรียงต่อกัน สันนิษฐานว่าแต่เดิมคงประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ ณ ตำแหน่งนี้ที่บริเวณเพดานหินด้านทิศตะวันออก พบภาพเขียนสีสีแดง 1 ภาพ เป็นภาพเส้นหยัก และที่แกนหินก้อนล่างด้านทิศเหนือพบภาพเขียนสีสีแดงเป็นภาพคน 1 ภาพ


โบสถ์วัดพ่อตา
เพิงหินสกัดเป็นห้องที่มีการนําก้อนหินมาต่อเติมเป็นผนัง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปที่คนท้องถิ่นต่อเติมขึ้นใหม่ในภายหลัง


ถ้ำพระ
เพิงหินมีการสกัดหินก้อนล่างจนเป็นแกนคล้ายเสาค้ำยันเพิงหลังคาด้านบน รอบแกนสลักภาพประติมากรรมนูนสูงเป็นพระพุทธรูปเรียงกันในท่านั่งและยืน บางรูปประทับนั่งในซุ้ม รูปหนึ่ง
เป็นบุคคลยืนแต่งกายแบบศิลปะเขมรสันนิษฐานว่าอาจเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ทางด้านหลังในส่วนที่เพิงหินปิดทับ


ลักษณะเป็นเพิงหินขนาดใหญ่ที่เกิดจากการวางตัวทับซ้อนกันของหิน มีการสกัดส่วนที่เป็นหินด้านล่างให้เกิดเป็นห้องขนาดใหญ่ โดยมีการสลักรูปประติมากรรม พระพุทธรุปและรูปบุคคลไว้ที่ผนังถ้าและยังพบภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ด้วย พื้นที่บริเวณด้านข้างพบหลมเสาเรียงอยู่เป็นแนวและอยู่ให ผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า แสดงให้เห็นว่ามีการปรับปรุงพื้นที่ให้เป็นส่วนของหลังคาอาคารที่เป็นเครื่องไม้ มีการทรุดตัวลงมาของแผ่นหินต้านบน และพังทลายลงมา ได้ทำลายประติมากรรมบางส่วนให้ชำรุดเสียหายลงด้วย มีการปักสีมาล้อมรอบ 2 ชั้น แปดทิศ เพื่อแสดงว่าเพิงหินนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ประดิษฐาน รูปเคารพ หรืออาจใช้เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา สีมาชั้นในเจาะหลุมเป็นหลุมกลมตรงกลาง และมีหลุมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาบสองข้าง ส่วนสีมาชั้นนอกเจาะหลุมเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปัจจุบันคงเหลือหลักสีมาตามตําแหน่งเดิมเพียง 6 หลัก ซึ่งแต่เดิมน่าจะครบ 32 หลัก


กู่นางอุสา
เพิงหินที่มีการสกัดแต่ง อาจเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป บนผนังมีภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีใบเสมาหินขนาดใหญ่ปักล้อมรอบเพิงหิน ตามตํานานกล่าวว่าเป็นสถานที่
บรรจุกระดูกของนางอุสาและพี่เลี้ยง


ลักษณะเป็นเสาเฉลียงรูปดอกเห็ด ประกอบด้วยแกนหินขนาดใหญ่ความสูง 4 เมตร มีก้อนหินเป็นแผ่นขนาดใหญ่ทับอยู่ด้านบน แผ่นหินด้านบนกว้างและยาวประมาณ 3 เมตร ส่วนของแผ่นหินด้านบนวางตัวเยืองแนวแกนออกมา ในลักษณะของ เพิงหินที่ยื่นออกมา โดยมีการสกัดพื้นที่ด้านล่างและเสาหิน าจเป็นที่ตั้งรูปเคารพทางศาสนาหรือนั่งบําเพ็ญเพียร ที่เสาหิน ้านทิศเหนือมีภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เป็นภาพลายเรขาคณิตที่เป็นลายเส้นคู่ ตามแนวนอน 6 เส้น มีการปักสีมาล้อมรอบแปดทิศเพื่อแสดงว่าเพิงหินนี้ มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพ หรืออาจใช้เป็นเขตศักดิ์ สิทธ์ ที่ประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา ปัจจุบันสีมาเหลืออยู่จํานวน 7 หลัก ซึงแต่เดิมน่าจะครบ 8 หลัก


เพิงหินนกกระทา
เพิงหินรูปคล้ายนกกระทา มีใบเสมาล้อมรอบจากร่องรอยที่เหลืออยู่สันนิษฐานว่าอาจเคยมีการประดิษฐานพระพุทธรูปที่เพิงหินแห่งนี้ โดยประกอบด้วยแกนหินหรือเสาหินสูงใหญ่ ที่ตั้งขึ้น 2 ข้าง คล้ายขาโต๊ะหรือม้านั่ง รองรับแผ่นหินขนาดใหญ่ ที่วางทับอยู่ด้านบน แผ่นหินด้านบนมีรูปรีๆ ป้อมๆ และมีส่วนที่ยืนออกมาเป็นจะงอยคล้ายปากนกนกกระทา เป็นที่มาของชื่อ เพิงหินนกกระทา มีการปักสีมาล้อมรอบแปดทิศเพื่อแสดงว่าเพิงหินนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพ หรือใช้เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา ปัจจุบันสีมาเหลืออยู่ จํานวน 5 หลัก ซึงแต่เดิมน่าจะครบ 8 หลัก


ลานหินมณฑลพิธี
เป็นลานหินขนาดใหญ่ มีการสกัดเจาะเป็นหลุมเพื่อติดตั้งใบสีมาหินทราย 2 ชั้น ล้อมรอบลานหินในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใบสีมาชั้นนอก เป็นใบสีมาแบบแผ่นแบนทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ชั้นในมีใบสีมาแผ่นแบนทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางและมีใบสีมาแบบแผ่นแบน ทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กอีก 2 ใบขนาบด้านข้าง ปัจจุบันคงเหลือหลักสีมาตามตําแหน่งเดิมเพียง 10 หลัก ซึ่งแต่เดิมน่าจะครบ 32 หลัก ที่ตําแหน่งส่วนกลางของลานหิน มีร่องรอยการสลักตกแต่งพื้นเป็นร่องตื้นๆ เป็นกรอบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ภายใน เข้าใจว่าคงใช้เป็นสถาน ที่ประดิษฐานรูปเคารพหรือเป็นที่ประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ และยังมีร่องรอยหลุมกลมขนาดเล็กเรียงเป็นแนวในกรอบรุปสีเหลี่ยม รอบเขตใบสีมา อาจใช้ในการติดตั้งเสาไม้เพื่อทําเป็นรั้วกั้นขอบเขตหรืออาจใช้เป็นหลุมตะคันเพื่อจุดไฟให้แสงสว่างในเวลากลางคืน เนื่องจากบริเวณนี้เป็นลานหินกว้าง ล้อมรอบไปด้วยเพิงหินศักดิ์สิทธิ์หลายแห่ง จึงสันนิษฐานว่าบริเวณนี้น่าจะเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม ทางพุทธศาสนาที่สําคัญที่สุด ในลักษณะของปะรําพิธี หรือมณฑลพิธี

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline


กำลังโหลดความคิดเห็น