xs
xsm
sm
md
lg

“ร้อยเอ็ด” ทีเด็ดใหม่ สุดตื่นเต้น เล่นซิปไลน์บนหอชมเมืองแห่งแรกในไทย จาก “หอโหวด ๑๐๑” สู่ “บึงพลาญชัย”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ปิ่น บุตรี


วันนี้ หอโหวด ๑๐๑ มีกิจกรรมซิปไลน์เป็นสีสันใหม่ทางการท่องเที่ยวของร้อยเอ็ด
“ร้อยเอ็ด” เป็นจังหวัดหนึ่งเดียวในเมืองไทยที่มีชื่อเรียกเป็นจำนวนนับ และสามารถเขียนชื่อจังหวัดเป็นตัวเลขได้ คือ ๑๐๑ หรือ 101

สำหรับผู้ที่ไปเบิ่งร้อยเอ็ด ในตัวจังหวัดมี 2 แลนด์มาร์กสำคัญเก่า-ใหม่ คือ “บึงพลาญชัย” และ “หอโหวด ๑๐๑” ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งเราสามารถเดินเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างแลนด์มาร์กทั้ง 2 ได้อย่างไม่ยากเย็น

บึงพลาญชัย


ทิวทัศน์บึงพลาญชัยและวิวเมืองร้อยเอ็ดยามค่ำคืน
“บึงพลาญชัย” เป็นสัญลักษณ์ที่อยู่คู่เมืองร้อยเอ็ดมาช้านาน ปรากฏทั้งในคำขวัญและตราประจำจังหวัดร้อยเอ็ด ในอดีตที่นี่เคยเป็นบึงน้ำธรรมชาติที่เกิดจากตาน้ำผุดใต้ดิน ก่อนที่จะมีคนบุกรุกเข้ามาใช้ประโยชน์จนตื้นเขินสิ้นสภาพบึง ไม่มีน้ำขัง มีแต่หญ้าคา ต้นกก และขยะมูลฝอย

ต่อมาเมื่ออํามาตย์เอก “พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์(ทอง จันทรางศุ)” เข้ามาดำรงตําแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด จึงมีดำริให้ขุดบึงพลาญชัยขึ้นใหม่ ในช่วงปี พ.ศ. 2469-70 เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้สอย ซึ่งมีข้อมูลว่าการขุดบึงพลาญชัยในครั้งนี้มีการระดมแรงงานมาขุดบึงถึง 40,000 คนเลยทีเดียว

เกาะกลางบึงโซนที่ตั้งศาลหลักเมืองร้อยเอ็ด
ส่วนดินที่ถูกขุดพูนขึ้นมาถูกนำไปสร้างเป็น “เกาะกลางบึง” ที่ปัจจุบันมีรูปฟอร์มคล้ายแผนที่ประเทศไทย รวมถึงถมเป็นถนนรอบขอบบึงมีชื่อเรียกขานว่า “ถนนสุนทรสุเทพ” ตามชื่อของพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์
 
นอกจากนี้บนเกาะกลางบึงฝั่งด้านหน้ายังเป็นที่ตั้งของ “ศาลหลักเมืองร้อยเอ็ด” ที่เป็นศาลาไทยประยุกต์ทรงจตุรมุข ภายในมีเสาหลักเมืองเป็นเสาไม้แก่นกลมมน ยาวประมาณ 1 เมตรเศษ

ศาลหลักเมืองร้อยเอ็ด สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองร้อยเอ็ด
ชาวร้อยเอ็ดเชื่อว่าศาลหลักเมืองร้อยเอ็ดเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ชาวเมืองมีความสุขสมปรารถนา จึงมีทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวแวะเวียนมากราบไหว้ศาลหลักเมืองร้อยเอ็ดกันไม่ได้ขาด
 
ขณะที่ลานใกล้ ๆ กับศาลหลักเมืองเป็นที่ตั้งของ “อนุสาวรีย์พานรับธรรมนูญร้อยเอ็ด” ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2479 ที่ฐานของพานเขียนคำว่า “เสมอภาค-เสรีภาพ-การศึกษา-เอกราช-ปลอดภัย-เศรษฐกิจ”

อนุสาวรีย์พานรับธรรมนูญร้อยเอ็ด
บริเวณนี้หากมองย้อนกลับออกจากบึงจะเห็น “หอโหวด ๑๐๑”ตั้งตระหง่าน เมื่อเดินข้ามสะพานไปที่บริเวณหน้าบึงพลาญชัย มี “พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” ให้กราบสักการะ และ “ประตูเมืองสาเกตนคร”ที่เป็นชื่อดั้งเดิมของเมืองร้อยเอ็ดในอดีต

ปัจจุบันบึงพลาญชัยมีเนื้อที่ประมาณ 2 แสนตารางเมตร เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว มีการตกแต่งเป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับ มีสนามเด็กเล่น ภายในบึงมีกิจกรรมถีบเรือเป็ด บึงฝั่งหนึ่งมีน้ำพุดนตรีแสดงในยามเย็น

สำหรับบึงพลาญชัยวันนี้นอกจากจะเป็นแลนด์มาร์กและปอดของชาวร้อยเอ็ดแล้ว ยังถูกยกให้เป็น “หัวใจ” ของคนร้อยเอ็ดอีกด้วย


หอโหวด ๑๐๑

หอโหวด ๑๐๑ แลนด์มาร์กใหม่ของจังหวัดร้อยเอ็ด
จากบึงพลาญชัยเมื่อเดินข้ามถนนมาอีกฝั่งจะเป็น “สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด”สวนสุขภาพที่เปิดให้ประชาชนเข้ามาออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจ และจัดกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงเป็นที่ตั้งของ “หอโหวด ๑๐๑” หรือที่หลายคนเรียกสั้น ๆ ว่า “หอโหวด”

หอโหวด ๑๐๑ เป็นหอคอยหรือหอชมเมืองรูปทรงโหวด ที่ได้แนวคิดการออกแบบมาจาก “โหวด”หนึ่งในเครื่องดนตรี (เครื่องเป่า) ชิ้นเด่นของภาคอีสาน

หอชมเมืองแห่งนี้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2560 แล้วเสร็จในราว ๆ ปี 2563 มีความสูง 101 เมตร ฐานด้านล่างกว้าง 30 เมตร ยอดโหวดกว้าง 20 เมตร มีทั้งหมด 35 ชั้นด้วยกัน มีพื้นที่ทั้งหมดกว่า 3,621 ตารางเมตร

ส่วนจัดแสดงนิทรรศการร้อยเรื่องเมืองโหวด ที่ชั้น 2
หอโหวด ๑๐๑ นอกจากจะเป็นแลนด์มาร์กใหม่สุดอลังการของจังหวัดร้อยเอ็ดแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวต้องห้ามพลาดของจังหวัด หอแห่งนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่
 
-ส่วนที่ 1 อาคารด้านล่าง ชั้นที่ 1-4 โดยมีไฮไลต์อยู่ในชั้นที่ 2 ที่เป็นส่วนจัดแสดงนิทรรศการ “ร้อยเรื่องเมืองโหวด” เล่าความเป็นมาของโหวดที่เดิมเป็นเครื่องเล่นมีเสียงดัง โดยเชื่อว่าเสียงโหวดทำให้ฝนหยุดตก ก่อนจะถูกพัฒนาให้กลายเป็นเครื่องดนตรีดังในปัจจุบัน

ที่ชั้น 2 ยังมีการนำเสนอเรื่องราวของหอโหวดที่มีแผนการสร้างมาตั้งแต่ปี 2548 โดยมีการปรับแบบเพิ่มความสูงเรื่อยมาจนกลายเป็นหอโหวด ๑๐๑ ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน

ชั้น 31 เป็นพื้นที่ชมวิวรอบทิศ 360 องศา
-ขณะที่ส่วนที่ 2 เป็นส่วนหอชมเมือง หรือส่วนบนของหอโหวด ตั้งแต่ชั้นที่ 28-35 โดยชั้นที่เป็นไฮไลต์ห้ามพลาด คือ 31 ที่เป็นพื้นที่ชมวิวรอบทิศ 360 องศา สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองร้อยเอ็ดได้อย่างสวยงามกว้างไกล รวมถึงมีกล้องส่องทางไกลให้เลือกชมในจุดที่ชอบได้อีกด้วย

สำหรับแลนด์มาร์กเด่น ๆ ที่มองเห็นเป็นจุดสังเกตหลักจากบนหอโหวตก็อย่างเช่น “พระมหาเจดีย์ศรีชัยมงคล” (อ.หนองพอก) เจดีย์ใหญ่คู่เมืองที่มองเห็นอยู่ไกล ๆ , “พระพุทธรัตนมงคลมหามุนี” หรือ “หลวงพ่อใหญ่” พระพุทธรูปยืนสูงที่สุดในเมืองไทยแห่งวัดบูรพาภิราม และ “บึงพลาญชัย” ซึ่งบนนี้มีตำแหน่งที่สามารถมองเห็นบึงพลาญชัยในมุมสูงได้อย่างสวยงามชัดเจนแบบจะจะเต็มตา

ทิวทัศน์บึงพลาญชัยเมื่อมองลงมาจากพื้นที่ชมวิวบนหอโหวด ๑๐๑
ส่วนชั้นที่ 32 จะเป็นจุดถ่ายภาพสวย ๆ มีการประดับตกแต่งเป็นอุโมงค์ดอกไม้อันสวยงาม โดยเฉพาะช่วงบริเวณบันไดทางเดินขึ้นด้านบน มีการประดับด้วยแชนเดอเลียร์ดอกอินทนินบก (ดอกไม้ประจำจังหวัดร้อยเอ็ด) ที่ทำจากคริสตัล

นอกจากนี้ที่ด้านข้างผนังกระจกช่วงบันไดทางเดินยังมีต้นไม้จำลอง บนนั้นมีตัว “กระรอกเผือก” หรือ “กระรอกด่อน” สัตว์สัญลักษณ์ประจำจังหวัดร้อยเอ็ด ที่มีตำนานเล่าขานว่า เกี่ยวข้องกับการสร้างบ้านแปงเมืองร้อยเอ็ด โดยเฉพาะกับการก่อกำเนิดของบึงพลาญชัย

ร้อยเอ็ดสกายวอล์ก กับทางเดินพื้นกระจกใสที่ชั้น 34
ชั้น 33 เป็นจุดจัดแสดงนิทรรศการ ส่วนชั้น 34 เป็นจุดชมวิวที่มีไฮไลต์ คือ “ร้อยเอ็ดสกายวอล์ก” กับพื้นที่เดินชมวิวพื้นกระจกใสที่ดูเก๋ไก๋ น่าตื่นเต้นชวนให้ใจหวิวและขาสั่นไม่น้อย

ถัดขึ้นไปเป็นชั้น 35 ชั้นสูงสุดของหอโหวด ๑๐๑ ภายในประดิษฐาน “พระพุทธมิ่งเมืองมงคล” พระพุทธรูปปางมารวิชัยเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองร้อยเอ็ด หล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ พระพักตร์รูปไข่ พระเนตรเหลือบต่ำ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2367

พระพุทธมิ่งเมืองมงคล และ พระบรมสารีริกธาตุ ที่ชั้น 35
ขณะที่เหนือองค์พระพุทธมิ่งเมืองมงคลขึ้นไปเป็น “พระบรมสารีริกธาตุ”ที่ถูกอัญเชิญมาจากวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบสักการะกัน

ซิปไลน์ หอโหวด ๑๐๑


วันนี้หอโหวด ๑๐๑ นอกจากจะเป็นแลนด์มาร์กและจุดเช็กอินไฮไลต์ของจังหวัดแล้ว ยังเดินหน้าสร้างมิติใหม่ให้กับการท่องเที่ยวร้อยเอ็ดด้วยการเปิดกิจกรรม “ซิปไลน์ หอโหวด ๑๐๑" (Zipline Roi Et Tower) ขึ้น ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา

ซิปไลน์ หอโหวด ๑๐๑ สีสันใหม่ทางการท่องเที่ยวของร้อยเอ็ด
กิจกรรมนี้เปิดโอกาสให้ผู้ที่ชอบความตื่นเต้นท้าทาย โหนสลิงจากยอดหอโหวด ๑๐๑ (ชั้น 34) ที่มีความสูงร่วม 100 เมตร เหินฟ้าลอยละลิ่วข้ามบึงน้ำไปลงยังเกาะกลางของบึงพลาญชัย ในระยะทางกว่า 350 เมตร ที่ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 1 นาที

ระหว่างที่กำลังเหินฟ้าเราสามารถชมวิวตัวเมืองร้อยเอ็ดในจังหวะที่กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วได้อย่างเต็มตาและตื่นเต้น

ซิปไลน์ หอโหวด ๑๐๑ กิจกรรมโหนสลิงจากบนหอคอยใจกลางเมืองแห่งแรกในเมืองไทย
สำหรับซิปไลน์หอโหวด ๑๐๑ ปัจจุบันถือเป็นการเล่นซิปไลน์โหนสลิงจากบนหอคอยใจกลางเมืองแห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย

นอกจากนี้สนนราคาของการเล่นซิปไลน์ที่นี่ก็นับว่าถูกมาก เริ่มต้นเพียง 101 บาท ซึ่งหลาย ๆ คนยกให้เป็นซิปไลน์ราคาถูกที่สุดในโลกเลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทางเทศบาลเมืองร้อยเอ็ดได้การันตีในเรื่องความปลอดภัย เพราะมีการทดสอบระบบอย่างเข้มงวดและตรวจเช็กอยู่ตลอดเวลา

และนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ของ 2 แลนด์มาร์ก เก่า-ใหม่ ในจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งว่ากันว่าใครที่มาเยือนตัวเมืองนี้ หากไม่ได้มาเที่ยวชม-เช็กอินที่บึงพลาญชัยและหอโหวด ๑๐๑ นั้นก็เหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงร้อยเอ็ดโดยสมบูรณ์

ซิปไลน์ หอโหวด ๑๐๑ ตื่นเต้นเร้าใจไปกกับการโหนสลิงจาก หอโหวด ๑๐๑ สู่ บึงพลาญชัย


บึงพลาญชัย เปิด 04.00-21.00 น.



หอโหวด ๑๐๑ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ชั้น 2 เปิด-ปิดจำหน่ายตั๋วตั้งแต่เวลา 10.00 - 18.00 น. ชั้นที่ 2-3 เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 9.00 - 19.00 น. เข้าชมฟรี ชั้นที่ 28-35 เปิดให้บริการ 10.00 - 19.00 น. เสียค่าบริการในการเข้าชม 50 บาท 

ซิปไลน์ หอโหวด ๑๐๑ เปิดให้บริการวันละ 2 ช่วงเช้า-บ่าย ตั้งแต่ 09.30-17.30 น. ปัจจุบันมี 3 แพ็กเกจ 3 ราคา (ดูรายละเอียดด้านล่าง)

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูล สถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร ในจังหวัดร้อยเอ็ด เชื่อมโยงกับบึงพลาญชัย-หอโหวด ๑๐๑ ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานขอนแก่น (รับผิดชอบพื้นที่ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์) โทร. 043 227 714 หรือที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ ททท.สำนักงานขอนแก่น TAT Khonkaen Fanpage









กำลังโหลดความคิดเห็น