xs
xsm
sm
md
lg

ตื่นตา “นิทรรศการไทยโนเสาร์” ท่าพิพิธภัณฑ์ ประกาศศักดาไดโนเสาร์พันธุ์ไทย สู่ความยิ่งใหญ่ระดับโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ปิ่น บุตรี


นิทรรศการไทยโนเสาร์ ท่าพิพิธภัณฑ์ ประกาศศักดาไดโนเสาร์พันธุ์ไทยสู่ความยิ่งใหญ่ระดับโลก
“ไดโนเสาร์” แม้จะสูญพันธุ์ไปจากโลกเมื่อราว 65 ล้านปีมาแล้ว แต่วันนี้เรื่องราวของมันยังคงอยู่ให้มนุษย์ได้ขุดค้นซากดึกดำบรรพ์ (ฟอสซิล) ขึ้นมาค้นคว้าศึกษาถึงความน่าทึ่งของเหล่าบรรดาสัตว์ยักษ์เหล่านี้กันอย่างต่อเนื่อง

สำหรับประเทศไทยถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งค้นพบไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์อื่น ๆ ที่จัดว่าไม่ธรรมดาแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งล่าสุด “นิทรรศการไทยโนเสาร์” ถือเป็นอีกหนึ่งการตอกย้ำว่าไดโนเสาร์ในเมืองไทยนั้นมีความยิ่งใหญ่และน่าทึ่งแห่งหนึ่งของโลก

นิทรรศการไทยโนเสาร์ หรือ “ไทยโนซอร์” (THAINOSAUR) จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมถึง 2 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00 – 18.00 น. ที่ “ท่าพิพิธภัณฑ์” ท่าช้าง กรุงเทพมหานคร งานนี้เป็นนิทรรศการที่รวบรวมเรื่องราวของไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์สัญชาติไทยต่าง ๆ เอาไว้อย่างหลากหลายครบเครื่อง ทั้งหุ่นจำลองไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์ขนาดเท่าของจริงในรูปแบบเสมือนจริง มีเนื้อหนังสีสัน ท่วงท่าดูมีชีวิต ร่วมด้วยหุ่นจำลองโครงกระดูก (ผสมของจริง) ซากดึกดำบรรพ์ หรือ “ฟอสซิล” ของจริงหาชมยาก และฟอสซิลจำลองแบบเสมือนจริงมาให้ชมกันเพียบ

หุ่นจำลอง 2 ช้างดึกดำบรรพ์ที่หน้าทางเข้าท่าพิพิธภัณฑ์
นอกจากนี้ก็ยังมีข้อมูลชุดความรู้เกี่ยวกับไดโนเสาร์ในบ้านเราแบบสรุปเข้าใจง่าย คอยบอกอยู่ตามจุดต่าง ๆรวมถึงแอนิเมชันที่สร้างขึ้นจากหลักฐานทางบรรพชีวินวิทยาอันน่าตื่นตาตื่นใจให้ชม ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนอ้างอิงจากข้อมูลงานวิจัยตามหลักบรรพชีวินวิทยาอย่างถูกต้องตรงปก

อีกทั้งยังมีการจัดแสดงผลงานศิลปะที่ได้แรงบันดาลใจจากไดโนเสาร์ ของศิลปิน 4 คน คือ ไทวิจิต พึ่งเกษมสมบูรณ์, ฮ่องเต้-กนต์ธร เตโชฬาร, ปั๋น-ดริสา การพจน์ (Riety) และ จิรภาส เจริญพร (DAYY) ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานชวนชมสอดแทรกไปในพื้นที่ของการจัดนิทรรศการอย่างกลมกลืน

พิริยะ วัชจิตพันธ์
“พิริยะ วัชจิตพันธ์” ผู้ก่อตั้งท่าพิพิธภัณฑ์ และผู้จัดงานไทยโนเสาร์ ซึ่งชื่นชอบไดโนเสาร์มาตั้งแต่เด็ก เปิดเผยว่า ตนสะสมฟอสซิลมากว่า 30 ปี ทำให้มีฟอสซิลอยู่เป็นจำนวนมาก เลยคิดว่าจะทำยังไงให้สิ่งเหล่านี้เกิดประโยชน์ขึ้นมา จึงนำฟอสซิลที่สะสม (บางส่วน) มาจัดแสดงในงานนี้ เพื่อให้คนทั่วไปรับรู้ว่าเมืองไทยมีศักยภาพและหลักฐานทางบรรพชีวินวิทยาที่น่าทึ่ง

“บ้านเรามีไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์หลายร้อยชนิด ที่ไม่เคยพบเจอที่ไหนในโลกนอกจากประเทศไทย รวมถึงไดโนเสาร์ที่ค้นพบใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน นิทรรศการนี้จัดขึ้นเพื่อให้คนไทยได้รับรู้และภูมิใจว่า ไดโนเสาร์ไทยก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้สายพันธุ์อื่นในโลก” พิริยะ กล่าว

ด้านนอก


ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่
สำหรับไฮไลต์ชวนชมของงานนี้มีให้ดูกันเพียบ เริ่มจากโซนด้านนอก กับหุ่นจำลอง “ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่” ไดโนเสาร์กินพืชขนาดยักษ์ขนาดเท่าตัวจริง ตัวใหญ่ยาวเกือบ 20 เมตร ที่ตั้งโดดเด่นเป็นดังแลนด์มาร์กของงานอยู่หน้าโครงการ

ส่วนถัดเข้ามาที่ด้านหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์จะเป็นงานหุ่นจำลองช้างดึกดำบรรพ์เสมือนจริง นำโดย “สเตโกดอน” งายาวเฟื้อย ซึ่งเป็นช้างดึกดำบรรพ์ที่มีความใกล้เคียงกับช้างปัจจุบันแต่ว่ามีขนาดใหญ่กว่ากันมาก ร่วมด้วย ไซโกโลโฟตอน, โปรตานันคัส และโปรไดโนธีเรียม เพนตาโปตามิเอ

ช้างดึกดำบรรพ์สเตโกดอน
ชั้น 1

จากนั้นเมื่อเดินเข้าสู่ภายในอาคารจัดแสดงชั้นที่ 1 จะปูพื้นเราด้วย “มหายุคพาลีโอโซอิก” (อายุราว 542-251 ล้านปี) ซึ่งเป็นยุคแห่งสัตว์ทะเลโบราณที่มีสัตว์ดาวเด่นอย่าง “ไทรโลไบต์” ที่อยู่ในกลุ่มสัตว์ขาปล้อง ร่างกายแบ่งเป็น 3 ส่วนตามชื่อนำ “สยามนอติลุส”หรือ หอยงวงช้างดึกดำบรรพ์ และ “สยามโมดัส ณองเวียริ” หนึ่งในปลากระดูกอ่อนที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองไทย โดยค้นพบเพียงส่วนฟันที่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีอายุเก่าแก่กว่า 360 ล้านปีเลยทีเดียว

โซนมหายุคพาลีโอโซอิก
ต่อมาเป็นเรื่องราวของสัตว์ในมหายุคพาลีโอโซอิกที่วิวัฒนาการจากสัตว์ทะเล ขึ้นไปใช้ชีวิตบนบกใน “มหายุคมีโซโซอิก” (อายุราว 251-65 ล้านปี) หรือยุคไดโนเสาร์ครองโลก ที่แบ่งออกเป็น 3 ยุคด้วยกัน เริ่มจาก “ยุคไทรแอสซิก” ที่มีหุ่นจำลอง “ไทยซอรัส จงลักษมณีอี” สัตว์เลื้อยคลานทะเลที่มีรูปร่างคล้ายโลมาค้นพบที่จังหวัดพัทลุง และ “ไซโคลโตซอรัส” สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกที่ดูคล้ายตัวซาลาแมนเดอร์ขนาดยักษ์พบที่จังหวัดชัยภูมิ

อีสานโนซอรัส อรรถวิภัชน์ชิ
ขณะที่ตัวไฮไลต์ของโซนชั้น 1 คือ หุ่นจำลองโครงกระดูกของ “อีสานโนซอรัส อรรถวิภัชน์ชิ” ในยุคไทรแอสซิกตอนปลายยืนตระหง่าน แสดงให้เห็นว่ายุคนั้นเมืองไทยมีไดโนเสาร์ซอโรพอด (ไดโนเสาร์กินพืช) อย่าง “อีสานโนซอรัส” ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกบนโลก เป็นดังการเปิดประเดิมโลกยุคไดโนเสาร์ของงานนี้

ชั้น 2


ชั้น 2 จัดแสดงหุ่นจำลองไดโนเสาร์แบบเสมือนจริง
ถัดไปเป็นไฮไลท์ห้ามพลาดของงานที่ชั้น 2 กับ 2 ยุคที่เหลือของมหายุคมีโซโซอิก ได้แก่ “ยุคจูแรสซิก” (ยุค 2) ที่เป็นยุคทองของไดโนเสาร์บนโลกใบนี้ กับ “ยุคครีเทเชียส” (ยุค 3 ) ยุคสุดท้ายของไดโนเสาร์ก่อนจะสูญพันธุ์ ซึ่งบ้านเรามีการขุดพบฟอสซิลไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ที่มีชื่อเสียงระดับโลกในยุคนี้อยู่หลายตัวด้วยกัน

สำหรับไดโนเสาร์ดาวเด่นที่จัดแสดงในชั้น 2 นั้นก็อย่างเช่น แก๊ง 3 ดาวดังแห่งโซนสุสานไดโนเสาร์ภูน้อย จังหวัดกาฬสินธุ์ในหมวดหินภูกระดึงแห่งยุคยุคจูแรสซิก นำโดย “สเตโกซอรัส” ไดโนเสาร์หุ้มเกาะตัวแรกแห่งแดนสยาม มีลักษณะเด่นคือมีเดือยหนามกลางลำตัวและปลายหาง แถมยังมีหน้าตาดูแบ๊วอีกต่างหาก ร่วมด้วย “มินิโมเคอร์เซอร์ ภูน้อยเอนซิส” ไดโนเสาร์กินพืชขนาดเล็กที่ดูคล้ายนก และ “ไทแรนโนซอรอยด์” ไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดเล็กที่เป็นญาติเก่าแก่กับ ที.เร็กซ์

3 ดาวดังแห่งโซนสุสานไดโนเสาร์ภูน้อย
นอกจากนี้ก็ยังมีไดโนเสาร์ดาวดังแห่งยุคครีเทเชียส อย่าง สยามโมไทรันนัส, ภูเวียงโกซอรัส, กินรีไมมัส, ไดเครโอซอริด และ “ภูเวียงเวเนเตอร์ แย้มนิยมมิ” ไดโนเสาร์เทอโรพอด (ไดโนเสาร์กินเนื้อ) ขนาดกลาง อีกหนึ่งไดโนเสาร์สัญชาติไทยชนิดใหม่ของโลก อยู่ในวงศ์เมกะแรพเตอราที่ได้รับฉายาว่าเป็น “นักล่าแห่งเทือกเขาภูเวียง

สยามโมซอรัส สุธีธรนิ & ชาละวัน ไทยแลนดิคัส
รวมถึง “สยามโมซอรัส สุธีธรนิ”ไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ชนิดแรกที่พบในเมืองไทย และเป็นไดโนเสาร์ตัวแรกที่มีการตั้งชื่อขึ้นในเมืองไทย อายุประมาณ 130 ล้านปีก่อน ที่จัดแสดงคู่กับ “ชาละวัน ไทยแลนดิคัส”หนึ่งในสมบัติสำคัญของชาติไทย มีอายุประมาณ 150 ล้านปีก่อน คาบเกี่ยวในยุคจูราสสิคตอนปลายถึงครีเทเชียสตอนต้น ซึ่งเมื่ออ้างอิงจากฟอสซิลที่ค้นพบ จะมีความยาวมากกว่า 10 เมตรเลยทีเดียว ถือเป็นพญาชาละวัน หรือ จระเข้ยักษ์แห่งแดนสยาม ที่ถ้า “ไกรทอง” มาเจอตัวเป็น ๆ อาจชั่งใจว่าจะสู้หรือวิ่งหนีป่าราบดี

ไม่เพียงเท่านั้น ในชั้นนี้ยังมีกะโหลกของจระเข้ดึกดำบรรพ์จำนวนหนึ่ง นำโดยตัวท็อป “วาราโนซูคัส” หรือ “จระเข้หน้าเหี้ย” ที่โด่งดังจนเป็นไวรัลสุดปังเมื่อปีที่แล้ว (2564) และดาวดังตัวล่าสุดคือ “การูแดปเทอรัส บุฟโตติ” เทอโรซอร์ (สัตว์เลื้อยคลานบินได้ร่วมยุคไดโนเสาร์) ชนิดใหม่ของโลกและเป็นชนิดแรกที่พบในเมืองไทย จากแหล่งซากดึกดำบรรพ์พระปรง จังหวัดสระแก้ว ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานในปีนี้ (2568)

อัฑฒ์ ศรีวิสาร
ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของการจัดแสดงที่ชั้น 2 คือ หุ่นจำลองไดโนเสาร์ต่าง ๆ นั้น จัดแสดงแบบเสมือนจริง มีหน้าตา เส้นขน เกล็ด กล้ามเนื้อ ผิวหนัง จะงอยปาก แก้ม ลวดลาย ฟัน เล็บ และมีสีสันสวยงาม ซึ่งอ้างอิงจากงานวิจัยทางบรรพชีวิน

อัฑฒ์ ศรีวิสาร นักวิจัยด้านบรรพชีวินวิทยารุ่นใหม่ ให้ข้อมูลเรื่องสีของไดโนเสาร์ที่นำมาสู่การสร้างสรรค์หุ่นจำลองแบบเสมือนจริงในงานนี้ ว่า “การค้นพบที่น่าทึ่งคือ “สีของไดโนเสาร์” ที่เกิดจากร่องรอยเมลาโนโซม (Melanosome) กระเปราะเม็ดสีของผิวหนังและสีขนที่แท้จริงของไดโนเสาร์ที่มีความใกล้เคียงกับสีของนก ทำให้นักบรรพชีวินวิทยาทราบว่าไดโนเสาร์บางตัวมีสีสันสวยกว่าที่เราเคยเห็นในภาพยนตร์หรือนิทรรศการทั่วไป”

ชั้น 3

ชั้น 3 โซนยุคสุดท้ายของไดโนเสาร์
มาปิดท้ายกันที่ชั้น 3 เป็นการจัดแสดงช่วงเวลาสุดท้าย (ยุคครีเทเชียส) ของไดโนเสาร์สัญชาติไทย (และทั่วโลก) ในรูปแบบหุ่นจำลองโครงกระดูกที่มีการผสมของจริงเข้าไปในบางส่วนด้วย โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ ภูเวียงโกซอรัส, ซิตตะโกซอรัส สัตยารักษ์กิ และ “สยามแรปเตอร์ สุวัจน์ติ” ไดโนเสาร์กินเนื้อสกุลใหม่และชนิดใหม่ของโลกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทยเท่าที่มีการค้นพบมาจนได้รับฉายาว่าเป็น “นักล่าแห่งสยาม”

นอกจากนี้ส่วนนิทรรศการที่ชั้น 3 ยังมีอีกหนึ่งโซนสำคัญ ซึ่งเป็นการส่งต่อจากยุคครีเทเชียส ยุคสุดท้ายของมหายุคมีโซโซอิก หลังไดโนเสาร์ชุดสุดท้ายสูญพันธ์ไปจากโลกเข้าสู่มหายุคใหม่คือ “มหายุคซีโนโซอิก” (ชีวิตใหม่) ที่มีอายุประมาณ 65 ล้านปีก่อนมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นมหายุคของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

สยามแรปเตอร์ สุวัจน์ติ นักล่าแห่งสยาม
สำหรับไฮไลต์ในโซนสุดท้าย (มหายุคซีโนโซอิก) มีการจัดแสดงทั้งหุ่นจำลองเสมือนจริง หุ่นจำลองโครงกระดูก ซากฟอสซิล โครงกระดูก ฟัน กะโหลก และเขาสัตว์ ของบรรดาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมดึกดำบรรพ์ต่าง ๆ ที่สูญพันธุ์ไปจากโลก อาทิ ช้าว 4 งาน เสือโบราณ ลิงโบราณ แรดโบราณ รวมถึงสัตว์ยุคปัจจุบันบางชนิดที่สูญพันธุ์ไปจากเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น แรด (ในไทย) กระซู่ ตะโขง กูปรี และ “สมัน”

สมันเป็นกวางชนิดหนึ่งที่ได้ชื่อว่ามีเขาสวยงามที่สุดในโลก พบเจอเพียงแห่งเดียวในเมืองไทย มีเนื้ออร่อยมากจนมีเรื่องเล่ากันว่าสมัยก่อนคนเรียกเจ้าสัตว์ชนิดนี้ว่า “เนื้อสวรรค์” ก่อนที่จะเพี้ยนมาเป็น “เนื้อสมัน” และ “สมัน” ในเวลาต่อมา (อ้างอิงข้อมูลจาก พิริยะ วัชจิตพันธ์)

ชั้น 3 โซนมหายุคซีโนโซอิก มหายุคแห่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
แต่อนิจจา...พวกมันกลับถูกไล่ล่าสูญพันธุ์ไปจากเมืองไทยและสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้อย่างน่าสะเทือนใจ จากน้ำมือของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกประเภทหนึ่งที่ครองโลกในยุคปัจจุบันคือ “มนุษย์” ที่ถือดีว่าตัวเองมีปัญญาฉลาดเลิศเลอกว่าทุกสายพันธุ์ แต่กลับทำลายล้างทุกเผ่าพันธุ์อย่างไม่ยี่หระ 

...ทำลายล้างแม้กระทั่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเอง...

และนี่ก็คือบางส่วนจากงานนิทรรศการไทยโนเสาร์ หรือ ไทยโนซอร์ ที่มีมากกว่าการจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์ต่าง ๆ ในบ้านเรา ซึ่งพิริยะ วัชจิตพันธ์ ผู้จัดงานนี้ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมทิ้งท้ายถึงอีกหนึ่งวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ว่า

...การจัดงานนี้ขึ้นมาเพื่อให้คนได้ระลึกว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ (ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดยุคปัจจุบัน) ที่เคยมีมากมายในเมืองไทย แต่มันกลับถูกทำลายจนสูญพันธุ์ไปจากน้ำมือมนุษย์ ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่เราต้องหวงแหน รักษา และอนุรักษ์สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ในเมืองไทย (บรรดาสัตว์ต่าง ๆ) ให้อยู่กับเราไปตราบนานที่สุด มิฉะนั้นเราจะไม่เหลืออะไรเลย...

เขา กระดูก กะโหลก ของสัตว์ยุคปัจจุบันที่พบในเมืองไทยก่อนถูกล่าจนสูญพันธุ์
#######################

นิทรรศการไทยโนเสาร์ หรือไทยโนซอร์ (THAINOSAUR) จัดแสดงระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคมถึง 2 พฤศจิกายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 18.00 น. ณ ท่าพิพิธภัณฑ์ (Museum Pier) โครงการท่าช้าง วังหลวง ค่าเข้าชมสำหรับคนไทย เด็ก 150 บาท ผู้ใหญ่ 250 บาท / ชาวต่างชาติ เด็ก 250 บาท ผู้ใหญ่ 350 บาท สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 082-896-1929

***หมายเหตุ : ควรดูแอนิเมชันหรืออ่านข้อมูลที่ทางผู้จัดงานติดตั้งไว้ตามจุดต่าง ๆ ภายในงานประกอบ เพื่อให้ได้อรรถรสในการชมนิทรรศการไทยโนเสาร์มากยิ่งขึ้น


ผลงานศิลปะที่ได้แรงบันดาลใจจากไดโนเสาร์




กำลังโหลดความคิดเห็น