“วัดภูม่านฟ้า” จ.บุรีรัมย์ โต้กัมพูชาไม่ได้สร้างเลียนแบบนครวัด หลังโดน ก.วัฒนธรรมฯกัมพูชากล่าวหา ด้านชาวเน็ตไทยถาม ทำไมเขมรเงียบจัง? หลังเพจดังเผยภาพเบลเยียมสร้างสวนสัตว์-สวนพฤษศาสตร์ โดยจำลองนครวัด-นครธม มาแบบจัดเต็ม
จากกรณี ดร.เฟือง สกุณา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและศิลปกรรมของกัมพูชา ออกมาประณามอย่างรุนแรงว่าการก่อสร้างวัดภูม่านฟ้า โดยเฉพาะ “ปราสาทสีหนคร” ได้เลียนแบบสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของนครวัด โดยกล่าวว่าการก่อสร้างดังกล่าว เป็นการละเมิดเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและจริยธรรมด้านมรดกของเขมรอย่างร้ายแรง จนมีประชาชนชาวกัมพูชาบางส่วนเรียกร้องให้ฟ้องศาลโลก
ล่าสุด นายพีระวัฒน์ จันทสิทธิ์ ไวยาวัจกรวัดภูม่านฟ้า ได้ออกมาเปิดเผยกับสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ว่า ทางวัดไม่ได้รู้สึกหนักใจอะไรกับกรณีที่รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมของประเทศกัมพูชา กล่าวหาว่าทางวัดสร้างเลียนแบบนครวัด เพราะกรณีนี้ไม่ใช่แค่เพิ่งจะเกิด แต่เป็นประเด็นมาหลายครั้งแล้ว ที่ผ่านมามีหน่วยงานภาครัฐทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา รวมทั้งรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมของกัมพูชา เคยมาดูการก่อสร้างต่าง ๆ ที่วัดภูม่านฟ้าแล้ว ก็ยังระบุตรงกันว่า ไม่ได้มีการสร้างเลียนแบบนครวัดตามที่มีการกล่าวหา แต่เป็นประติมากรรมที่สร้างขึ้นจากจินตนาการของเจ้าอาวาส ทำจากหินทราย และทำจากแรงศรัทธาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยมจิตใจของพุทธศาสนิกชนคนไทยทุกคน
ส่วนที่ชาวกัมพูชาเรียกร้องให้ยื่นฟ้องศาลโลกนั้น นายพีระวัฒน์ เปิดเผยว่า ไม่ได้กังวลอะไรเพราะความเป็นจริงก็ไม่ได้สร้างเลียนแบบ
สำหรับ “วัดภูม่านฟ้า” หรือ “วัดพระพุทธบาทศิลา” ตั้งอยู่ใน อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ มีเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ ปัจจุบันยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ วัดแห่งนี้ได้รับอนุญาตให้สร้างวัด เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2562 ได้รับอนุญาตให้ตั้งเป็นวัดในพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 31 พ.ค.2564 ปัจจุบันมีพระอธิการสมศักดิ์ สังวรจิตโต เป็นเจ้าอาวาส
วัดภูม่านฟ้าโดดเด่นด้วยสิ่งก่อสร้างจากหินทราย ที่ทางวัดต้องการให้มีรูปแบบคล้ายคลึงกับสิ่งก่อสร้างในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้งหินซ้อนเป็นชั้น ๆ หรือการแกะสลักหินทรายเป็นรูปทรงต่าง ๆ อาจมองดูคล้ายกับศิลปะจากทางประเทศอินเดีย หรืออาณาจักรขอมโบราณ ซึ่งเจตนาของวัดนั้นมุ่งก่อสร้างเป็นพุทธสถาน แต่สร้างให้มีความสวยงามคล้ายกับสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาทำบุญที่วัด
สำหรับสิ่งก่อสร้างสำคัญ ๆ ภายในวัดภูม่านฟ้านั้น ได้แก่ “หลวงปู่หิน” ในวิหารน้อย พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ศิลปะอินเดีย, ภาพสลักนูนต่ำ ที่ตั้งเรียงรายให้ได้เห็นตลอดทาง, ลานพระนอน ฐานเป็นรูปเทวดา ยักษ์ และมนุษย์ เป็นต้น
ขณะที่สิ่งก่อสร้างสำคัญที่เป็นไฮไลต์และสัญลักษณ์ของวัดแห่งนี้ก็คือ เมืองสีหนคร ที่โดดเด่นไปด้วย “พระมหาเจดีย์” หรือ “ปราสาทสีหนคร” ที่สร้างขึ้นจากหินทราย แกะสลักอย่างงดงามด้วยมือ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และยังมีสิ่งก่อสร้างที่ดูคล้ายปราสาทหิน ซึ่งได้กลายเป็นดราม่าให้ประเทศเพื่อนบ้านโจมตีมาอย่างต่อเนื่องว่าวัดภูม่านฟ้าสร้างเลียนแบบนครวัด
อย่างไรก็ดีทางวัดภูม่านฟ้าได้เคยการออกมาชี้แจงแล้วว่า การก่อสร้างเมืองสีหนครแห่งนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการก่อสร้างปราสาทหินของคนโบราณในอดีต และคนสมัยปัจจุบัน ซึ่งอาจจะแตกต่างกันเพียงเทคโนโลยีหรือเครื่องจักรที่นำมาใช้เท่านั้น ทั้งอยากให้เมืองสีหนครแห่งนี้เป็นวัตถุที่สืบทอดให้เห็นถึงเจตนาและความศรัทธาของผู้มีจิตศรัทธาไปอย่างยาวนานถึง 5,000 ปี แต่ยืนยันว่ารูปแบบการก่อสร้างเกิดจากจินตนาการหรือนิมิต ไม่ได้ลอกเลียนแบบมาจากสถานที่แห่งใด
นอกจากนี้ทางวัดภูม่านฟ้ายังเคยให้ทางกัมพูชาเข้ามาตรวจสอบสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในวัด โดย เมื่อปี 2564 กระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์ กัมพูชา ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบวัดภูม่านฟ้า หลังจากนั้น ก.วัฒนธรรมฯ กัมพูชา ได้ออกเอกสารแถลงข่าว ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 ถึงเรื่องการก่อสร้างปราสาทหินในจังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย โดยมี 3 ประเด็นหลัก ดังนี้
1. ปราสาทหินแห่งนี้เป็นหนึ่งในปราสาทหินหลายแห่งที่เป็นสถานที่สักการบูชาพระพุทธรูป ตั้งอยู่ในวัดพระพุทธบาทศิลา บ้านหนองบัวราย ตำบลบ้านสิงห์ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย โครงสร้างภายนอกทำด้วยหินทราย ส่วนภายในเป็นคอนกรีต
2. โดยการชี้แจงและนำเสนอเอกสาร แผนผัง และสิ่งก่อสร้าง เจ้าอาวาสวัดยืนยันว่าการก่อสร้างวัดแห่งนี้ไม่ได้ลอกเลียนแบบหรือก่อสร้างตามรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับนครวัดหรือวัดโบราณใดๆ ในกัมพูชา กล่าวคือ ก่อสร้างตามแบบของตนเองและออกแบบตามสถาปัตยกรรมของวัดบางแห่งในพื้นที่
3. ผู้แทนผู้ประสานงานโครงการก่อสร้างวัดยังยินดีรับคำขอจากผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมกัมพูชาให้เข้าไปตรวจสอบด้วยตนเองในกรณีที่มีข้อสงสัย
ดังนั้นการที่ รมต.ก.วัฒนธรรมฯ กัมพูชา ออกมาประณามวัดภูม่านฟ้าอย่างรุนแรงว่าสร้างเลียนแบบนครวัด ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2568 นั้น นอกจากจะเป็นการกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริงแล้วยังเป็นการกระทำที่ย้อนแย้งกับพฤติกรรมในอดีตที่ผ่านมา จนทำให้แม้แต่ชาวเน็ตกัมพูชาหลาย ๆ คน ยังต้องออกมาโพสต์ตำหนิ ก.วัฒนธรรมฯ กัมพูชา อย่างเช่น
Suong Savuth : “เพิ่งตื่นเหรอ เขาสร้างเกือบจะเสร็จแล้ว เมื่อก่อนคณะกรรมการตรวจสอบของกัมพูชาก็ไปตรวจสอบและออกประกาศแจ้งประชาชนว่ารูปแบบไม่เหมือนกับปราสาทนครวัด แต่ตอนนี้พวกเขากลับบอกว่าแบบก่อสร้างและรูปแบบเหมือนกับปราสาทนครวัด”
Chhon Chanthea บอกว่า “ก่อนหน้านี้ก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ก๊อปปี้ แล้วตอนนี้เพิ่งรู้ว่าโดนก๊อปปี้ แล้วจะเอาผิดทางกฎหมายกับพวกเขาได้อย่างไร”
Muy Kroem HR บอกว่า “ตอนอยู่ที่กระทรวงก็บอกว่าส่งช่างมาดูถึงหน้างานก่อสร้าง แล้วบอกว่าไม่ได้ก๊อปปี้เขมรเลย ขอให้เข้าใจ แต่ตอนนี้เขาบอกว่ามันต่างกัน แปลว่ามันพังแล้วเหรอ ตอนนี้เขาทำเกือบเสร็จแล้วก็ปล่อยไว้อย่างนั้น ไม่ดีกว่าหรือ”
หลังจากเกิดกรณีดราม่ากัมพูชากล่าวหาว่าวัดภูม่านฟ้าสร้างเลียนแบบนครวัด ทางเพจ ASEAN “มอง” ไทย ก็ได้โพสต์ภาพและข้อความถึงสิ่งก่อสร้างที่สร้างเลียนแบบนครวัด-นครธม ในเบลเยียม ว่า
สวนสัตว์และสวนพฤษศาสตร์ Pairi Daiza ในประเทศเบลเยียม จำลองนครวัด-นครธม แบบจัดเต็ม สิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นส่วนจัดแสดงเสือสายพันธุ์ต่าง ๆ อยู่ในโซนสวนสัตว์ มีทั้งอาคารหินแกะสลัก, บาราย, ระเบียงทางเดิน และซุ้มประตูทางเข้ารูปปราสาทบายนที่ใหญ่โต ซึ่งในส่วนนี้มีชื่อเรียกว่า Temple des Tigres (วัดเสือ) สวนสัตว์และสวนพฤษศาสตร์ Pairi Daiza เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 เป็นสถานที่เอกชน ตั้งอยู่ในเมืองบรูเกเลต มณฑลแอโน ประเทศเบลเยียม
นอกจากนี้เพจดังกล่าวยังตั้งคำถามกับลูกเพจว่า “กระทรวงวัฒนธรรมกัมพูชาว่าไง ?”
หลังโพสต์นี้ถูกเผยแพร่ก็ได้มีชาวเน็ตไทยเข้ามาแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่แสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน สรุปความได้ว่า ทำไมชาวเขมรถึงเงียบต่อสิ่งก่อสร้างที่ก็อปนครวัด-นครธมมาอย่างชัดเจน แต่ของไทยแม้สร้างไม่เหมือนคนเขมรก็ยังมาคอยจับผิดหาเรื่อง
ขณะที่หนึ่งในโพสต์ที่แสดงความเห็นได้อย่างน่าสนใจในประเด็นนี้ระบุว่า
“ฮุนเซนต้องการหาเรื่องไทยทุกเรื่อง เคลมไทยทุกเรื่อง เพราะมีนายกฯไทยเป็นญาติกับเขมร”