วิกฤตความสัมพันธ์ระหว่าง “ไทย-กัมพูชา” ในปี พ.ศ.2568 นับเป็นความขัดแย้งที่ชัดเจนมากที่สุดในรอบทศวรรษก็ว่าได้ ปลุกกระแสสังคมให้สนใจเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ รวมทั้งยังมีประเด็นประวัติศาสตร์ หลักฐานโบราณคดี ไปจนถึงความเชื่อจากตำนานให้กล่าวเชื่อมโยงถึงกัน
รู้จักปราสาทยุคขอมโบราณของไทย
เมื่อกล่าวถึงปราสาทสมัยอาณาจักรขอมโบราณที่อยู่ในดินแดนไทย และเป็นพื้นที่ที่มีกรณีพิพาทกับกัมพูชาในปัจจุบัน คือ “กลุ่มปราสาทตาเมือน” บ้านหนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นโบราณสถานศิลปะขอมโบราณและเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้านประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ใน “ประเทศไทย” โดยมีข้อสันนิษฐานว่าในอดีตที่นี่เคยเป็นชุมชนโบราณ เพราะเป็นเส้นทางผ่านช่องเขาสำคัญระหว่างเมืองพระนครไปยังพิมายปุระ
ปราสาทตั้งอยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาประมาณ 100 เมตร เป็นเทวสถานขอมโบราณ ศิลปบาปวน ซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทยมาตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 2478
กรมศิลปากรยังได้ทำการบูรณะกลุ่มปราสาทตาเมือนจนสวยงาม กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจ.สุรินทร์ ซึ่งนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวชม มาทัศนศึกษาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โบราณวัตถุส่วนหนึ่งของกลุ่มปราสาทตาเมือนได้ถูกนำไปแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์
กลุ่มปราสาทตาเมือน ประกอบไปด้วยปราสาท 3 หลัง ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน ได้แก่ ปราสาทตาเมือน (หรือปราสาทบายกรีม) ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือนธม
ปราสาทตาเมือน (ปราสาทบายกรีม) เป็นปราสาทหลังเล็กที่สุดในกลุ่ม ตัวปราสาทก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว เชื่อว่าเป็นธรรมศาลาหรือที่พักสำหรับคนเดินทาง
ปราสาทตาเมือนโต๊ด เป็นปราสาทขนาดเล็กที่เชื่อว่าเป็นอโรคยาศาล หรือสถานที่รักษาพยาบาลของชุมชน สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นอโรคยาศาล 1 ใน 102 แห่งที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อช่วยอาณาประชาราษฎร์
ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม สร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกายซึ่งนับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด เป็นโบราณสถานสมัยบาปวน อายุราวพุทธศตวรรษที่ 17
เอกลักษณ์ของปราสาทตาเมือนธม มี “สวยัมภูลึงค์” หรือ ศิวลึงค์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเคลื่อนย้ายไม่ได้ เป็นรูปเคารพสูงสุดของศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย ซึ่งคนโบราณเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เหมือนองค์มหาเทพปรากฏที่ต้องบูชาและดูแลรักษา
คำสาปในศิลาจารึกปราสาทตาเมือนธม
หนึ่งในประเด็นที่มีการกล่าวถึงกันหลากหลาย คือ “คำสาป” ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในอดีต ซึ่งต้องแบ่งออกเป็น 2 ประเด็น คือ คำสาปในศิลาจารึก ที่มักถูกอ้างอิงถึง เป็นศิลาจารึกที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งจารึกเมื่อ พ.ศ. 1563 ในสมัย “พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1” (ครองราชย์ พ.ศ. 1545–1593) ไม่ใช่พระเจ้าชัยวรมัน
ด้วยความเป็นปราสาทที่สมบูรณ์และมีขนาดใหญ่ ปราสาทตาเมือนธม จึงมีการค้นพบศิลาจารึกหลายหลัก เมื่อรวมกับที่พบในบริเวณใกล้เคียง รวมได้จำนวน 14 หลัก
โดยส่วนหนึ่งของศิลาจารึกมีเนื้อหากล่าวถึงการแต่งตั้งข้าราชการ ข้าทาส และการถวายเงินทองไว้ที่ฐานของพระศิวะ โดยท้ายจารึกระบุคำสาปแช่งว่า “ผู้ใดทำลายฐานของพระศิวะจะต้องตกนรกจนสิ้นกาลมหาโกฏิ” (ตกนรกตลอดกาล)
ผศ.ดร.สมบัติ มั่งมีสุขศิริ และ ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา อาจารย์คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร สรุปเนื้อความให้ทราบว่า ห้ามมิให้ผู้ใดเอาทรัพย์สินของปราสาทไปใช้ประโยชน์ส่วนตน คนที่ช่วยดูแลท่านขอพรให้ได้เสวยสุขในสวรรค์ ตราบเท่าที่พระพรหมยังมี 4 หน้า พระวิษณุยังมี 4 กร และพระศิวะยังมี 3 พระเนตร ส่วนคนที่ทำลายหรือลักทรัพย์ไปจากปราสาทตาเมือน ให้ได้ความทุกข์ในนรก ตราบเท่าที่พระพรหมยังมี 4 หน้า พระวิษณุยังมี 4 กร และพระศิวะยังมี 3 พระเนตร เช่นกัน (อ้างอิงจากไทยรัฐออนไลน์: ปราสาทตาเมือนมนต์คำสาปในจารึก https://www.thairath.co.th/news/politic/193752)
ดังนั้น หากสันนิษฐานจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จึงอาจมีการตีความหรือเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับคำสาป "ชัยวรมัน" และ “สุริยวรมัน” (ที่ปรากฏในศิลาจารึกปราสาทตาเมือนธม ซึ่งระบุถึงการบริหารจัดการและการถวายทรัพย์สินแด่เทวสถาน โดยคำสาปมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากการถูกทำลายเท่านั้น)
“คำสาปชัยวรมัน” ตำนานความเชื่อที่อาจเป็นเหตุให้เขมรอยากได้ปราสาทไทย
[บางส่วนของบทความเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล]
ดังที่กล่าวไว้ว่า คำสาปที่อ้างถึงในบริบทของ "ชัยวรมัน" อาจมีการตีความคลาดเคลื่อน หากนำไปเชื่อมโยงกับคำสาปของ “พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1” ซึ่งบันทึกในศิลาจารึกที่ปราสาทตาเมือนธม ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และลงโทษผู้ทรยศหรือผู้ทำลาย ไม่ใช่คำสาปที่มุ่งเป้าไปที่ชาวเขมร
แล้ว “คำสาปชัยวรมัน”มีเรื่องราวเป็นอย่างไร ?
“คำสาปชัยวรมัน” เป็นตำนานเรื่องเล่าตามความเชื่อที่ไม่ปรากฏหลักฐานทางการ ว่าด้วยคำสาปขอมโบราณที่ยังคงสะท้อนแนวคิดความเชื่อนี้สืบต่อมาถึงชาวกัมพูชาบางกลุ่มยุคปัจจุบัน
ความเชื่อนี้เล่าถึงเมื่อประมาณ 700 ปีก่อนในช่วงปลายราชวงศ์พระนคร อาณาจักรขอมโบราณมีสมเด็จพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 (หรือพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร) เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของเชื้อสาย “สุริยวรมัน” ซึ่งเป็นผู้สืบสันตติวงศ์จากพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 กษัตริย์ผู้รวบรวมอาณาจักรอย่างมั่นคง
พระเจ้าชัยวรมันที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติจากปี พ.ศ. 1870-1879 ถูกล้มอำนาจโดยชายธรรมดาผู้หนึ่งที่มีชื่อว่า "แตงหวาน" ผู้รวบรวมกบฏชาวบ้านเข้ายึดอำนาจ และตั้งตนเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ในนาม “พระเจ้าตรอซ็อกผแอม” หรือ “สมเด็จพระองค์ชัย”พระเจ้าแผ่นดินแห่งเมืองพระนครหลวง กัมพูชา
มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ที่ครองราชย์ในช่วง พ.ศ. 1545-1593 ประมาณ 1,500 ปีก่อน ได้สร้างคำสาปเอาไว้ในศิลาจารึกว่า “ผู้ใดทรยศต่อเราและลูกหลาน จะตกอยู่ในความพินาศตลอดไป ถูกต่างชาติยึดครอง ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่พัฒนา ไม่มีวันชนะลูกหลานของเราได้ และจะเผชิญภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
คำสาปนี้ถูกเชื่อว่าเริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ “แตงหวาน” ก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ และหลังจากนั้นประวัติศาสตร์กัมพูชาก็ดูเหมือนตกอยู่ในวงจรคำสาปตลอดมาไม่จบสิ้น
ว่ากันว่า “คำสาปชัยวรมัน” มีทั้งหมด 7 ข้อ ได้แก่ 1.ผู้ถูกสาปจะถูกทำลายจนสูญสิ้นด้วยลูกหลานของวรมัน 2.ผู้ถูกสาปจะอยู่ภายใต้การปกครองของผู้อื่นเสมอ ถูกสยามและฝรั่งเศสปกครอง 3.ผู้ถูกสาปจะเข่นฆ่าล้างผลาญกันเองตราบชั่วลูกชั่วหลาน เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุคเขมรแดง 4.ผู้ถูกสาปจะต้องเป็นทาสของผู้อื่นตลอดไป 5.ผู้ถูกสาปจะต้องเผชิญกับหายนะและภัยพิบัติทางธรรมชาติ 6.ลูกหลานของผู้ถูกสาปจะไม่มีวันรบชนะลูกหลานของชัยวรมัน 7.ผู้ถูกสาปจะล้าหลัง ไร้ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญา
อย่างไรก็ตาม สำหรับ “คำสาปชัยวรมัน” เป็นเรื่องเล่าแบบตำนานตามความเชื่อที่แล้วแต่บุคคลจะมอง เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางการจากรัฐบาลกัมพูชา หรือนักวิชาการ แต่ก็ยังแสดงให้เห็นได้ว่า ความเชื่อนั้นคงมีอยู่ในหมู่ชาวกัมพูชาบางกลุ่ม
โดยเฉพาะหากเชื่อมโยงเหตุการณ์ในวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2568 ที่มีพิธีลึกลับกลางปราสาทนครวัดที่ถูกอ้างว่าเป็น “พิธีถอนคำสาปชัยวรมัน” โดยมีคนแต่งดำ 8 คนเป็นตัวแทนทิศ ทำพิธีกรรมซับซ้อนโดยรอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีเครื่องสังเวยและวัตถุประกอบพิธีมากมาย
แต่ทว่าในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เกิดฟ้าผ่าลงกลางปราสาทนครวัด ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 30 ราย โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นชาวกัมพูชา จนมีการร่ำลือว่าเป็นอาถรรพ์จากคำสาป
ดังนั้นในเมื่อความเชื่อของชาวกัมพูชาบางส่วน มองว่า “คำสาป” ฝังอยู่ในปราสาทขอมโบราณของไทย จึงอาจเป็นเหตุทำให้ผู้มีอำนาจบางคน หวังครอบครองปราสาทของไทย เพื่อทำพิธีลบล้าง และปลดคำสาปก็เป็นได้!