ใกล้รุ่ง ได้ยินเสียงแว่วดังแผ่วมาอยู่ไม่ไกล เป็นสรรพสำเนียงแห่งป่าไพรที่เริ่มส่งเสียงทักทายเช้าวันใหม่ ท่ามกลางแสงเรื่อเรืองรองที่ค่อย ๆ ฉาบทอเหนือเส้นขอบฟ้า
สำหรับเช้าวันนี้คณะเรามาถึงยังท่าเรือ “บ้านทุ่งหยีเพ็ง” กันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจากวิถียามเช้าอันเร่งรีบของ “มนุษย์เมืองหลวง” ที่ต้องรีบตื่น รีบกิน รีบถ่าย รีบเดินทาง รีบไปทำงาน และอีกสารพัดรีบจนตัวลีบ มาเป็นเช้าสุดชิลล์แห่งวิถี Slow Life กับการนั่งเรือเต่าถ่าน ฟังเสียงป่า มุ่งหน้าหาแสงตะวัน ในกิจกรรม “อาบอรุณที่ทุ่งหยีเพ็ง” เกาะลันตาใหญ่ เพื่อรับพลังจากธรรมชาติ ชาร์จแบตให้กับชีวิต
เส้นทางเดินของชุมชนท่องเที่ยวบ้านทุ่งหยีเพ็ง
บ้านทุ่งหยีเพ็ง ตำบลศาลาด่าน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือฝั่งตะวันออกบนเกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เป็นชุมชนมุสลิมเล็ก ๆ ริมชายฝั่งที่มีความเป็นมานับร้อยปี
หมู่บ้านแห่งนี้มีช่วงยุคทองสำคัญอันเป็นที่จดจำของชุมชนคือยุคแห่งการ “ค้าถ่าน” ในช่วงปี พ.ศ. 2504-2535 ที่แม้ว่าธุรกิจค้าถ่านที่นี่จะเจริญอู้ฟู่ มีการส่งถ่านขายไปไกลถึง ปีนัง มาเลเซีย และสิงคโปร์ แต่ทว่า...ผลจากการสัมปทานเปิดป่าชายเลนให้ตัดไม้โกงกางและไม้อื่น ๆ เพื่อนำไปทำถ่าน ทำให้ป่าชายเลนที่บ้านทุ่งหยีเพ็ง (และชุมชนอื่นๆ บนเกาะลันตา) ถูกตัดทำลายลงทุกวันจนกลายเป็นป่าเสื่อมโทรม ทรัพยากรสัตว์น้ำร่อยหรอลดน้อยถอยลงไปเป็นจำนวนมาก
ต่อมาเกาะลันตาเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งในช่วงราวปี 2543 เมื่อนายทุนต่างถิ่นมากว้านซื้อนาข้าว เพื่อเปลี่ยนมาทำ “นากุ้ง” ซึ่งส่งผลกระทบต่อธรรมชาติและสภาพแวดล้อมบนเกาะเป็นอย่างมาก
จากนั้นหลังเหตุการณ์สินามิในปี 2547 ที่การท่องเที่ยวบนเกาะลันตาเริ่มบูม ชาวชุมชนบ้านทุ่งหยีเพ็งส่วนหนึ่งได้ร่วมด้วยช่วยกันปลูกโกงกางเพื่อฟื้นฟูป่าชายเลนที่เคยเสื่อมโทรมจากยุคค้าถ่านให้มีสภาพที่ดีขึ้น พร้อมทั้งมีการแบ่งพื้นที่ป่าชายเลนชุมชนออกเป็น 3 ส่วน คือ ป่าอนุรักษ์ ป่าใช้สอย และป่าฟื้นฟู
นอกจากนี้ชาวบ้านที่นี่ยังมีการเดินหน้าจัดตั้งกลุ่ม “วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บ้านทุ่งหยีเพ็ง” ขึ้น เพื่อสร้างรายได้เสริมจากการท่องเที่ยวให้กับชุมชน ซึ่งปัจจุบันมี นาย “นราธร หงษ์ทอง” เป็นประธานชุมชนท่องเที่ยวทุ่งหยีเพ็ง
ปัจจุบันที่นี่มุ่งเน้นในด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ นำเสนอของดีชุมชน และเรื่องราวของมนต์เสน่ห์แห่งป่าชายเลนใน “มุมมองใหม่” ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวแบบโลว์คาร์บอนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จนสามารถคว้ารางวัลด้านการท่องเที่ยวและอนุรักษ์ต่าง ๆ มาครองมากมาย ซึ่งล่าสุดบ้านทุ่งหยีเพ็งเป็นหนึ่งในชุมชนที่อยู่ระหว่างการเดินหน้าสู่แหล่งท่องเที่ยวของ “Tourism Cares” เพื่อตอกย้ำความโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในระดับสากลของชุมชนแห่งนี้อีกทางหนึ่ง
เส้นทางท่องเที่ยวล่องเรือเตาถ่าน ฟังเสียงป่า อาบอรุณ
ที่บ้านทุ่งหยีเพ็งวันนี้มีไฮไลต์ทางการท่องเที่ยวคือกิจกรรม “อาบอรุณที่ทุ่งหยีเพ็ง” ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวแบบโลว์คาร์บอน นั่งเรือแจว ฟังเสียงป่า ตามหาแสง อาบอรุณยามเช้า โดยนักท่องเที่ยวจะได้นั่งเรือแจวแบบดั้งเดิม ออกจากฝั่งที่ท่าบ้านทุ่งหยีเพ็งกันตั้งแต่รุ่งสางก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ในเวลาประมาณ 05.40 น.
สำหรับเรือนำเที่ยวของที่นี่จำลองมาจาก “เรือเตาถ่าน” หรือ “เรือป็อกชุน” ที่เป็นเรือบรรทุกถ่านไม้ในอดีต มาปรับแต่งให้เป็นเรือบริการนักท่องเที่ยว มีหลังคา นั่งได้ไม่เกินลำละ 4 คน (ไม่รวมคนพายเรือ)
จากนั้นฝีพายจะแจวเรือแบบโบราณพานักท่องเที่ยวล่องไปตามลำ “คลองเตาถ่าน” ผ่านป่าชายเลนที่ช่วงแรกเห็นเพียงเงาดำ ๆ มืด ๆ เนื่องจากฟ้ายังไม่สาง
ระหว่างทางของทริปเราวันนั้นมีแสงจันทร์กระจ่างส่องนำทางสัญจร ซึ่งพี่นายท้ายเรือได้จ้วงฝีพายเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ ท่ามกลางบรรยากาศของป่าชายเลนที่สัตว์ต่าง ๆ เริ่มตื่น ส่งเสียงทักทายยามเช้าพร้อมกับทยอยออกหากิน
เรือเตาถ่านค่อย ๆ แล่นไปอย่างช้า ๆ จากคลองเตาถ่าน (คลองน้ำกร่อย) สู่ปากอ่าวลันตา (ทะเล) ท่ามกลางแสงยามเช้าที่เริ่มเรื่อเรืองมากขึ้น เมื่อเรือล่องถึงปากอ่าวลันตาไม่นาน พระอาทิตย์ดวงแดงกลมโต ๆ ก็ค่อยโผล่พ้นขึ้นมาจากแนวเขาริมทะเลให้พวกเราได้เก็บภาพความประทับใจกัน
ที่ปากอ่าวลันตาหลังเรือชะลอให้เราถ่ายรูปกันอย่างเต็มอิ่ม จากนั้นพี่นายท้ายก็เสิร์ฟมื้อเช้าจากเมนูพื้นบ้านด้วยข้าวเหนียว-ปลากระบอกแดดเดียว (รสเด็ด) ขนมข้าวเหนียวหน้าต่าง ๆ รวมถึงกาแฟ ให้ดื่นกินกันกลางทะเล ท่ามกลางเสียงเห่กล่อมของคลื่นลมเบา ๆ เคล้าคลอแสงตะวันอ่อน ๆ ที่สาดส่อง
เช้าวันนั้นแม้ฟ้าจะไม่ใสแจ่ม แต่ว่าสภาพการณ์ก็เป็นใจไม่น้อย เพราะนอกจากเราจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นในทะเลเป็นลูกโตกลมแดงแล้ว ที่พื้นป่าชายเลนบริเวณปากอ่าวยังมีลิงแสมกลุ่มหนึ่งลงมาเดินหาอาหารเช้ากิน ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง ปู ปลา โดยเฉพาะหอยหลากหลายชนิดที่มีมากในบริเวณนี้
เมื่อเจ้าจ๋อจับหอยได้มันจะนำหอยไปล้างน้ำให้ขี้เลนออกให้หมดก่อนแกะเปลือกกินตัวหอย ทำเป็นกิจวัตรจนคนที่นี่เรียกพฤติกรรมนี้ว่า “ลิงล้างหอย” ซึ่งถือเป็นลิงที่รักสะอาดไม่น้อยเลย
นอกจากลิงแสมแล้วในระหว่างล่องคลองเตาถ่านช่วงขากลับ เราได้พบกลับปลาตีนตัวโต ปูตัวน้อย ปูก้ามดาบ นกหลายชนิด เหยี่ยว และป่าชายเลนที่เกิดจากการฟื้นฟูของชาวชุมชนดูเขียวครึ้ม 2 ข้างทาง โดยมี “ต้นปีปี” หรือ “ต้นปิอาปิ” (ที่มาของชื่อเกาะพีพี) ต้นไม้ทะเลหายากต้นใหญ่อายุหลายสิบปี ตั้งตระหง่านเป็นไฮไลต์ให้นักท่องเที่ยวชมระหว่างนั่งเรือเตาถ่านกลับสู่ท่าเรือของบ้านทุ่งหยีเพ็ง
จากนั้นเรือป็อกชุนแจวชิลล์ ๆ พาเรากลับมาส่งที่ท่าเรือบ้านทุ่งหยีเพ็งอีกครั้ง ซึ่งกิจกรรมนี้แม้ใช้เวลาไม่นานประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ในเช้าวันนั้นนอกจากเราจะได้ฟังเสียงหลากหลายจากธรรมชาติแล้ว เรายังได้สัมผัสกับบรรยากาศของแสงที่หลากหลาย ถึง 5-6 แสง ไม่ว่าจะเป็น แสงช่วงเช้ามืดฟ้ายังไม่สาง แสงช่วงฟ้าสาง แสงแรกของวันอันเรื่อเรืองสวยงาม แสงช่วงยามพระอาทิตย์ขึ้นที่มาไว-ไปไว แต่เป็นที่จับจ้องกันตา (แทบ) ไม่กระพริบ แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้า ไปจนถึงแสงที่แดดเริ่มร้อนแรงขึ้นในช่วงล่องเรือกลับ
สำหรับดวงตะวันแล้ว แม้จะขึ้นและตกในทิศทางเดิมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่หากดวงตะวันขึ้นและลงในสถานที่ที่แตกต่าง ในบรรยากาศที่แตกต่าง ก็ย่อมให้ความรู้สึกที่แตกต่างสำหรับผู้ที่พบเห็นได้เป็นอย่างดี จนหลาย ๆ คนต้องเก็บตะวันที่เคยส่องฟ้าเก็บเอามาเก็บไว้ในใจ และในความทรงจำ
ดังเช่นกิจกรรม “อาบอรุณที่ทุ่งหยีเพ็ง” ซึ่งนี่ถือเป็นอีกหนึ่งภาพจำใหม่ของการเที่ยวกระบี่ที่แตกต่าง ชนิดที่ใครไม่ได้มาสัมผัสย่อมมิอาจรู้ได้
########################
นอกจากกิจกรรมล่องเรือแจวอาบอรุณยามเช้าแล้ว ที่บ้านทุ่งหยีเพ็งยังมีกิจกรรมล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกยามเย็น เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน กิจกรรม CSR นั่งเรือหัวโทงทัวร์ หรือพายคายัค สัมผัสสายน้ำและผืนป่าในชุมชน เป็นต้น ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ นราธร หงษ์ทอง ประธานชุมชนท่องเที่ยวทุ่งหยีเพ็ง โทร.08-9590-9173 หรือดูที่เพจ เรือแจวทุ่งหยีเพ็ง, เพจให้การท่องเที่ยวของคุณคือการพักผ่อน
นอกจากนี้ยังสามารถสอบถามข้อมูล สถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร บนเกาะลันตาและในจังหวัดกระบี่ ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกระบี่ โทร. 0-7562-2163, 0-7561-2811-2