ภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาฟรานซิส เมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ.2025 ที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาจนถึงการประชุมลับของคณะพระคาร์ดินัล ที่ได้เลือกพระคาร์ดินัลชาวสหรัฐฯ “โรเบิร์ต พรีโวสต์” (Robert Privost) ขึ้นเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2025 ภายใต้พระนาม “สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 14”
เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ข้างต้น ทำให้ “นครรัฐวาติกัน" เป็นที่กล่าวถึงอีกครั้ง สำหรับดินแดนเล็กจิ๋วที่สุดในโลก อันเป็นเมืองศูนย์กลางแห่งศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก
"นครรัฐวาติกัน" (Vatican City) เป็นรัฐอิสระที่เล็กที่สุดในโลก มีพื้นที่เพียง 0.44 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ภายในกรุงโรม ของประเทศอิตาลี มีประชากรของรัฐซึ่งส่วนใหญ่เป็นบาทหลวง เจ้าหน้าที่ และทหาร อาศัยอยู่ 764 คนเท่านั้น (สถิติปี 2023) ถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระสันตะปาปา ประมุขสูงสุดของศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก
โดยในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1929 นครรัฐวาติกันและอิตาลี มีการลงนามสนธิสัญญายอมรับสถานะของนครรัฐวาติกัน ว่าเป็นรัฐเอกราชที่มีอำนาจอธิปไตยของตนเอง
นอกจากในแง่ของการเป็นศูนย์กลางแห่งศาสนาแล้ว นครรัฐวาติกัน ถือเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวหลายล้านคนต่อปีที่อยากมาสัมผัสความวิจิตรอลังการของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ พิพิธภัณฑ์วาติกัน หอสมุดวาติกัน จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ รวมถึงผลงานศิลป์ชิ้นเอกของศิลปินระดับโลก จึงกล่าวได้ว่า ดินแดนแห่งนี้เป็นศูนย์รวมศิลปะและสถาปัตยกรรมสุดล้ำค่าอีกแห่งในโลก รวมถึงยังได้การรับรองสถานะเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมจากองค์ฺการยูเนสโก
จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์
ภาพแรกที่ผู้มาเยือนได้สัมผัส คือ ความตื่นตาตื่นใจกับลานกว้างที่เรียกว่า “จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์” (St. Peter's Square) จัตุรัสทรงกลมขนาดมหึมาศิลปะเรอเนซองส์ผสมศิลปะบารอก ออกแบบโดย “ลอเรนโซ แบร์นีนี” ประติมากรและสถาปนิกชาวอิตาเลียน สร้างไว้ตั้งแต่ ค.ศ.1655 ตรงกลางลานกว้างมีเสาโอเบลิสก์ของอียิปต์ เสาสูงที่ยอดด้านบนสุดเป็นรูปทรงพีรามิดตั้งตระหง่านเด่น และรอบลานมีแนวเสาระเบียงของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่ยาวโค้ง มีน้ำพุสองด้านซ้ายขวา เป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมของนักท่องเที่ยว
"มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์"
ส่วนสิ่งที่โดดเด่นที่สุดภายในนครรัฐวาติกัน คือ "มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์" (Basilica of Saint Peter) สิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เป็นการสร้างทับวิหารหลังเดิมสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 4 ที่เป็นรูปแบบบาซิลิกา สมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่ฝังพระศพของนักบุญปีเตอร์ สาวกท่านสำคัญของพระเยซู และเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของโรม จึงเป็นประเพณีต่อมาที่พระศพของพระสันตะปาปาองค์ต่อมาจะฝังไว้ที่นี่ด้วยเช่นกัน
สำหรับมหาวิหารที่เห็นในปัจจุบัน สร้างในสมัยสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 (สร้างระหว่าง ปี ค.ศ. 1506 -1621) ด้านในมหาวิหาร คือ ความอลังการของสถาปัตยกรรมเรเนสซองส์ และการตกแต่งภายใน อันเป็นผลงานสร้างสรรค์ของ “มีเกลันเจโล หรือไมเคิล แองเจโล” ศิลปินชั้นเอกของอิตาลี
ภายในวิหารยังมีผลงานชิ้นเอกของคือ "ปีเอต้า" (Pieta) ประติมากรรมหินอ่อนรูปพระแม่มาเรียประทับนั่งบนแท่นหิน บนตักมีพระศพของพระเยซูที่ถูกนำลงจากไม้กางเขนพาดอยู่บนตัก เป็นประติมากรรมชิ้นเอกที่มิเกลันเจโลสร้างขึ้นตามสัญญาว่าจ้างจากสำนักวาติกัน ซึ่งใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 7 ปี ถือเป็นรูปสลักหินอ่อนที่งดงามระดับโลกก็ว่าได้
“พิพิธภัณฑ์วาติกัน”
ถัดไปที่ “พิพิธภัณฑ์วาติกัน" ซึ่งสร้างในสมัยศตวรรษที่ 16 โดยพระดำริของสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ที่นี่เป็นแหล่งรวมงานศิลปะจากทั่วโลก สะสมโดยวัดโรมันคาทอลิกมาเป็นเวลาหลายร้อยปี จัดแสดงศิลปวัตถุตั้งแต่อารยธรรมอียิปต์ โรมัน ศิลปะยุคเรอเนซองส์ ผลงานจิตรกรรมจากศิลปิน จัดแสดงเรียงตามช่วงเวลาตามยุคของคริสต์ศาสนา ซึ่งรวมถึงผลงานของศิลปินชื่อดังอย่าง “ราฟาเอล” และ “เลโอนาร์โด ดา วินชี”
"โบสถ์น้อยซิสติน"
อีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจของพิพิธภัณฑ์วาติกัน คือ "โบสถ์น้อยซิสติน" (Sistine Chapel) การเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ทำพิธีเลือกตั้งที่นี่ ซึ่งภายในเป็นสถานที่ที่ได้เห็นผลงานสุดวิจิตรของจิตรกรรมฝาผนังเทคนิคแบบภาพเฟรสโก้ หรือการวาดภาพลงบนปูนเปียก
โดยเฉพาะงานชิ้นเอกของ มีเกลันเจโล ไม่ว่าจะเป็น Creation of Adam, The Last Judgment เป็นต้น ภายในโบสถ์แห่งนี้ ยังมีภาพเขียนโดยกลุ่มจิตรกรชั้นนำของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอิตาลีในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เช่น ซานโดร บอตติเชลลี และเปียโตร เปรูจิโน
วัฒนธรรมร่วมสมัยกับวาติกัน
ในด้านความบันเทิงร่วมสมัย นครรัฐวาติกัน ปรากฏให้เห็นในภาพยนตร์ เช่น Angels & Demons (2009), The Two Popes (2019) และ Conclave (2024) ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนสนใจดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มากขึ้นกว่าเดิม และอยากมาตามรอยความวิจิตรความเข้มขลังของสถานที่ที่ปรากฏในภาพยนตร์