พาเที่ยว “ปักกิ่ง” เมืองหลวงของประเทศจีน กับ 5 จุดไฮไลต์ห้ามพลาด ไปเที่ยวแล้วต้องเช็คอินชมความงาม ไม่ว่าจะเป็น พระราชวังต้องห้าม กำแพงเมืองจีน ถนนคนเดินหวังฝูจิ่ง ถนนเฉียนเหมิน และ ทะเลสาบสือช่าไห่
“ปักกิ่ง” (Beijing) เมืองหลวงของประเทศจีน ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,000 ปี เป็นเมืองหลวงโบราณของจีน ตั้งแต่สมัยราชวงศ์เหลียว จิน หยวน หมิง และชิง รวม 5 ราชวงศ์ และเมื่อสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 2492 (ค.ศ. 1949) รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ได้เลือกปักกิ่งให้เป็นเมืองหลวงของประเทศ
นอกจากจะเป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครองของประเทศ ก็ยังเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การคมนาคม และวัฒนธรรมด้วย และที่สำคัญ ยังเป็นอีกเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศจีน โดยเฉพาะสำหรับชาวไทย ที่เพิ่งได้รับการยกเว้นฟรีวีซ่าจีนเมื่อปี 2567 ทำให้การเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศจีน และที่ปักกิ่งนั้นสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
สำหรับใครที่กำลังจะไปเที่ยว “ปักกิ่ง” ชวนมาปักหมุดเที่ยวกับ 5 ไฮไลต์ห้ามพลาด ไปเที่ยวเช็คอินกันให้เต็มอิ่มในเมืองสวยแห่งนี้
พระราชวังต้องห้าม
“พระราชวังต้องห้าม” (Forbidden City) แลนด์มาร์คสำคัญใจกลางกรุงปักกิ่ง สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง ใช้เป็นที่พำนักพักอาศัยของจักรพรรดิในราชวงศ์หมิงและชิงรวมทั้งสิ้น 24 พระองค์ เหตุที่ได้ชื่อว่าพระราชวังต้องห้าม เพราะชาวจีนโบราณมีคติในการสร้างวังว่า จักรพรรดิเปรียบเสมือนบุตรแห่งสรวงสวรรค์ ดังนั้นวังของบุตรแห่งสวรรค์จึงต้องเป็นที่ต้องห้ามด้วย คนธรรมดาสามัญไม่สามารถเข้าไปได้ แม้ข้าราชการชั้นสูงยังต้องขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษ
โดย "พระราชวังต้องห้าม" ได้รับการประกาศจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในปี ค.ศ.1987 ในชื่อ พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงในปักกิ่งและเฉิ่นหยาง
ใครที่มาเยือนพระราชวังต้องห้าม คงจะอดตื่นตะลึงกับความยิ่งใหญ่อลังการไม่ได้ เพราะที่นี่มีเนื้อที่กว่า 720,000 ตารางเมตร มีห้องมากถึง 9,999 ห้องครึ่ง (หากมี 10,000 ห้องจะเท่ากับเซียนบนสวรรค์ จึงมีสร้างครึ่งห้องเอาไว้เพื่อไม่ให้เทียบเท่า) ซึ่งแบ่งเป็นส่วนต่างๆ มากมาย อาทิ ตำหนัก พระที่นั่ง 750 องค์ หอบูชา ศาลา หอพระสมุด และห้องหับน้อยใหญ่อีกเพียบ
แต่ที่ถือเป็นไฮไลต์ก็คือ เขตพระราชฐานชั้นนอก ที่เคยใช้เป็นที่ว่าราชการแผ่นดินและที่ทรงงานของจักรพรรดิ มีตำหนักไท่เหอ เป็นตำหนักเอกอันสวยงามตระการตา และเขตพระราชฐานชั้นใน อันเป็นที่เคยประทับของจักรพรรดิ พระมเหสี พระราชมารดา พระราชโอรส พระราชธิดาและนางสนม มีตำหนักหลักๆ อยู่ 3 หลัง คือ ตำหนักเฉียนชิง ตำหนักเจียวไท่ และตำหนักคุนหนิง นอกจากนี้ด้านข้างของตำหนักทั้ง 3 ยังเรียงรายด้วยตำหนักเล็กๆ อีกด้านละ 6 หลัง
และนั่นถือเป็นเพียงส่วนเด่นๆ ส่วนหนึ่งในพระราชวังต้องห้ามอันสุดอลังการแห่งนี้เท่านั้น ซึ่งในบริเวณใกล้ๆ กันในฝั่งตรงข้ามยังเป็นที่ตั้งของจัตุรัสชื่อดังอย่าง “จตุรัสเทียนอันเหมิน” บนถนนฉางอาน เป็นจัตุรัสใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งยุคปัจจุบัน ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงปักกิ่ง
พระราชวังต้องห้าม เปิดให้เข้าชมวันอังคาร-อาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) เวลา 08.30-17.00 น. (เม.ย.-ต.ค.) เวลา 08.30-16.30 น. (พ.ย.-มี.ค.) การเข้าชมพระราชวังต้องห้าม ต้องทำการจองตั๋วเข้าชมล่วงหน้า เนื่องจากแต่ละวันจะมีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในการเข้าชม สามารถจองผ่านเว็บไซต์ได้โดยตรง https://bookingticket.dpm.org.cn โดยระบบจะเปิดให้จองล่วงหน้าก่อน 7 วัน แต่ละวันจะเปิดรอบจอง เวลา 19.00 น. (เวลาไทย) เมื่อจ่ายเงินและได้รับอีเมล์ยืนยันแล้วถือว่าจองเสร็จสิ้น วันที่จะเข้าไปเที่ยวพระราชวัง สามารถใช้พาสปอร์ตสแกนเข้าได้เลย
กำแพงเมืองจีน
“กำแพงเมืองจีน” (Great Wall of China) สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์โจว เมื่อราว 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยกษัตริย์แคว้นฉู่ได้ริเริ่มดำเนินการก่อสร้างขึ้น เพื่อป้องกันการรุกรานจากแคว้นอื่นๆ
ครั้นเมื่อย่างเข้าสู่ยุคสมัยของจักรพรรดิฉินซีหรือจิ๋นซีฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฉิน ก็ได้ทำการก่อสร้างกำแพงเพิ่มเติมออกไปอีก กระทั่งในสมัยของราชวงศ์ฮั่นก็มีการต่อเติมมาเรื่อยๆ จนมาถึงราชวงศ์หมิงก็ทำให้กำแพงเมืองจีน มีความยาวถึง 14,600 ลี้ (ราว 6,700 กม.) จนได้รับสมญานามว่าเป็น “กำแพงหมื่นลี้”
กำแพงเมืองจีน ประกอบไปด้วย 4 ส่วนสำคัญ คือ ส่วนกำแพงเมือง มีทั้งที่เป็นกำแพงหิน ดิน ทราย และอื่นๆ ตามแต่วัสดุที่ใช้ก่อสร้าง มีความสูงประมาณ 3-8 ม. ยอดกำแพงกว้าง 4-6 ม. มีหอสังเกตการณ์แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นบนใช้คอยสอดส่องและยิงธนูต่อสู้ข้าศึก ชั้นล่างแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ ใช้เก็บสรรพาวุธ รวมถึงเป็นที่พักนอนของเหล่าทหาร
ส่วนที่ 3 คือ ตัวด่านหรือป้อมปราการ มักสร้างไว้ตามจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ และหอส่งสัญญาณ ซึ่งเป็นส่วนที่ตั้งอยู่นอกเขตกำแพง ตามยอดเขาหรือที่ที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากที่ไกลๆ ตอนกลางคืนจะใช้วิธีจุดไฟแจ้งเหตุ ส่วนกลางวันใช้ควันไฟส่งสัญญาณแทน
ด้วยความยิ่งใหญ่อลังการและน่าทึ่ง ทำให้กำแพงเมืองจีนได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์อันโดดเด่นของประเทศจีน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังก้องโลก และเป็น 1 ใน สถานที่ท่องเที่ยวต้องห้ามพลาดสำหรับผู้มาเยือนปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน
สำหรับกำแพงเมืองจีนจุดที่อยู่ไม่ไกลจากปักกิ่งมากนัก และเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกัน ได้แก่ “ด่านจูยงกวน” เป็นด่านที่ใกล้กรุงปักกิ่งมากที่สุด คือห่างออกไปราว 50 กิโลเมตร “ด่านปาต้าหลิง” เป็นอีกด่านที่อยู่ใกล้ปักกิ่ง สามารถนั่งรถไฟและรถบัสมาจากปักกิ่งเองได้เลย ด่านนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเพราะอยู่ใกล้และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน “ด่านซือหม่าไถ” ตั้งอยู่บนแนวเขาสูงชัน ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของกำแพงเมืองจีน “ด่านมู่เถียนอวี้” มีทิวทัศน์สวยงาม ได้รับการบูรณะจนมีสภาพสมบูรณ์ใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุด และเดินทางได้สะดวกสบายเช่นกัน
ถนนคนเดินหวังฝูจิ่ง
“ถนนหวังฝูจิ่ง” (Wang Fu Jing Street) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวังต้องห้าม ถือว่าเป็นหนึ่งในถนนเส้นที่เก่าแก่มายาวนาน มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1279-1368) ซึ่งก็คือกว่า 700 ปีมาแล้ว และได้รับการตั้งชื่อในสมัยราชวงศ์หมิง เมื่อ 500 ปีที่ผ่านมา ว่า หวังฝูจิ่ง ซึ่งแปลว่า บ่อน้ำของตำหนักท่านอ๋อง
ถนนคนเดินแห่งนี้เป็นย่านเศรษฐกิจการค้า มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ที่เป็นศูนย์รวมของร้านค้าแบรนด์เนมและแฟชั่นสมัยใหม่ ร้านอาหารจีนและนานาชาติ ภัตตาคารหรู รวมไปถึงแผงขายอาหารกินเล่น หรืออาหารพิสดารก็สามารถหาทานได้ที่นี่ และในละแวกยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมชื่อดังของปักกิ่งหลายแห่ง
ร้านค้าและร้านอาหารบนถนนหวังฟูจิ่งจะเริ่มเปิดให้บริการตอนสายๆ ในเวลากลางวัน และจะเริ่มคึกคักและมีสีสันเป็นพิเศษในช่วงเย็นถึงช่วงกลางคืน เป็นอีกถนนคนเดินที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากเดินทางสะดวกสบาย อยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง
ถนนเฉียนเหมิน
“ถนนเฉียนเหมิน” (Qian Men Street) ทอดยาวออกมาจาก “ประตูเฉียนเหมิน” หรือเจิ้งหยางเหมิน เป็นประตูเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากในบรรดาประตูเมืองชั้นในที่มีอยู่ทั้งหมด 9 แห่ง โดยที่นี่เป็นทั้งประตูเมือง หอธนู และหอสังเกตการณ์ในเวลาเดียวกัน
ด้านหน้าประตูเฉียนเหมิน มีถนนเฉียนเหมิน เป็นถนนที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นเส้นทางเสด็จขององค์จักรพรรดิ เมื่อต้องเสด็จออกจากพระราชวังไปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่ต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญของเขตเมืองรอบนอก และเป็นเขตการค้าขายขนาดใหญ่ในสมัยก่อนของกรุงปักกิ่ง
ในยุคที่ยังมีศึกสงครามอยู่ ถนนเฉียนเหมินเคยถูกเผาทำลายเสียหายอย่างหนัก จนไม่สามารถเปิดดำเนินกิจการต่อไปได้ แต่ต่อมาทางรัฐบาลจีนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของถนนเส้นนี้ จึงได้ทำการพลิกฟื้นบูรณะซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนในย่านนี้ขึ้นใหม่ตามรูปแบบเค้าโครงเดิมในสมัยก่อน
ถนนมีความยาวทั้งสิ้น 845 เมตร กว้าง 20 เมตร บริเวณด้านหน้ามีซุ้มประตูไม้ห้าช่องขนาดใหญ่ศิลปะสมัยราชวงศ์ชิง สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของฝาก และภัตตาคารระดับประเทศตลอดทั้งเส้นทาง
ทะเลสาบสือช่าไห่
“ทะเลสาบสือช่าไห่” (Shicha Lake) ประกอบด้วยทะเลสาบที่มีชื่อเสียง 3 แห่ง คือ ทะเลสาบเฉียนไห่ (Qianhai Lake) ทะเลสาบโฮ่วไห่ (Houhai Lake) และทะเลสาบซีไห่ (Xihai Lake) เนื่องจากรอบบริเวณทะเลสาบแห่งเหล่านี้มีวัดทั้งหมด 10 วัด จึงเรียกว่า สือช่าไห่ หมายถึง ทะเลสาบที่บริเวณรอบข้างมีวัดอยู่ 10 แห่ง
โดยมีทะเลสาบโฮ่วไห่ เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สุด ขุดขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวน (ศตวรรษที่ 14) ตั้งอยู่กลางระหว่างทะเลสาบเฉียนไห่ และทะเลสาบซีไห่ โดยมีจุดเชื่อมเป็นคอคอดเล็กๆ เพื่อใช้เป็นเส้นทางการขนส่งสินค้ามายังพระราชวังต้องห้าม
ปัจจุบัน รอบๆ ทะเลสาบยังเต็มไปด้วยบ้านเรือนแบบโบราณที่อนุรักษ์ไว้ มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก ไปจนถึงกิจกรรมการนั่งรถสามล้อชมรอบๆ ทะเลสาบ สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสบรรยากาศแบบดั้งเดิม
นอกจาก 5 จุดท่องเที่ยวไฮไลต์แล้ว ที่ “ปักกิ่ง” ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจ และย่านยอดฮิตที่น่าไปอีก ไม่ว่าจะเป็น หอสักการะฟ้าเทียนถาน พระราชวังฤดูร้อนอี้เหอหยวน สวนจิ่งซาน ถนนโบราณหนานโหลวกู่เซียง วัดลามะ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจีน สวนสนุกยูนิเวอร์แซลปักกิ่ง เป็นต้น
#########################################
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline