xs
xsm
sm
md
lg

“เขาอกทะลุ” สัญลักษณ์จังหวัดพัทลุง กลายเป็นกระแสดังส่งท้ายปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นักท่องเที่ยวสุดคึกคักแวะมาถ่ายรูปช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ สำหรับ “เซ่เว่นอีเลฟเว่นกับเขาอกทะลุ” จุดเช็กอินใหม่ของจังหวัดพัทลุง ที่กลายมาเป็นกระแสโด่งดังในปีนี้

แม้ว่า “เขาอกทะลุ” ภูเขาสูงตระหง่านสวยงามเป็นสัญลักษณ์คู่เมืองพัทลุงมาเนิ่นนาน แต่เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา ภูเขากลางเมืองได้กลายเป็นกระแสโด่งดังให้กล่าวถึง เมื่อมีผู้ใช้โซเชียลมีเดีย โพสต์ภาพลงในกลุ่ม “ภาพสวยพัทลุง” เป็นภาพร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นสาขาใหม่ริมถนนบายพาสที่มีเขาอกทะลุสูงเด่นเป็นฉากหลัง

ภาพดังกล่าวทำให้ชาวเน็ตต่างชื่นชอบ กดไลค์ และแชร์ต่อกันไปเป็นจำนวนมาก พร้อมพากันเปรียบเทียบว่า เห็นแล้วทำให้นึกถึงวิวของ “ภูเขาไฟฟูจิ กับ ร้านลอว์สัน เมืองคาวากุจิโกะ” อันโด่งดังในประเทศญี่ปุ่น บ้างก็ให้ฉายาใหม่ว่า เป็นเซเว่นอีเลฟเว่นกับ “อกทะลุซัง”

ภูเขาไฟฟูจิกับร้านลอว์สัน (Photo: Siddhesh Mangela)
เมื่อมีการเปรียบเทียบดังกล่าว จึงเกิดเป็นกระแสของนักท่องเที่ยวทั้งในจังหวัดพัทลุง และชาวต่างถิ่น ปักหมุดเดินทางเพื่อไปถ่ายรูปบริเวณร้านเซเว่นอีเลฟเว่นแห่งนี้ โดยมีเขาอกทะลุงดงามเป็นฉากหลัง ซึ่งในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ และหยุดยาวต่างๆ มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากแวะไปถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก

 นักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันคึกคักในช่วงหยุดยาวปีใหม่
ทั้งนี้ ด้านหลังร้านสะดวกซื้อซึ่งเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ก็ได้กลายเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมไปด้วยไม่ต่างกัน โดยนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ถ่ายภาพบริเวณด้านหน้าไปแล้ว นิยมเดินมาเก็บภาพเขาอกทะลุเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม ด้วยกระแสความนิยมดังกล่าว ทำให้มีหลายฝ่ายออกมาแสดงความเป็นห่วง และตักเตือนนักท่องเที่ยวในเรื่องความปลอดภัย ว่าไม่ควรออกไปถ่ายรูปกลางถนน และต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น

ขณะเดียวกันก็เริ่มมีเสียงสะท้อนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าควรจัดเจ้าหน้าที่มาดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย หรือจัดสรรพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถถ่ายรูปได้อย่างปลอดภัย ไม่รบกวนพื้นผิวจราจร


“เขาอกทะลุ”
ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองพัทลุง ครอบคลุมพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลคูหาสวรรค์ ตำบลปรางค์หมู่ และตำบลพญาขัน นับเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ประจำจังหวัดพัทลุง และปรากฏอยู่ในคำขวัญของจังหวัดด้วย

ภูเขา มีความสูงประมาณ 250 เมตร มีช่องที่มองลอดทะลุยอดภูเขาอยู่บริเวณเกือบตอนปลายของยอดเขา อันเป็นลักษณะที่โดดเด่น โดยมีบันไดกว่าพันขั้น เดินเท้าไต่ขึ้นไปจนถึงช่องเขาทะลุ และสามารถปีนต่อขึ้นไปจนถึงลานหินบนยอดเขาได้ ถือเป็นจุดชมวิวที่สามารถชมทิวทัศน์ของเมืองพัทลุงแบบ 360 องศา

นอกจากนี้ ยังมีตำนานนิทานพื้นบ้าน ข้อมูลอ้างอิงจาก สำนักทรัพยากรการเรียนรู้คุณหญิงหลงฯ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระบุว่า “เขาอกทะลุ” เป็นภูเขาที่มีความสำคัญของจังหวัดพัทลุง ในฐานะเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตของเจ้าแม่ดุดี เจ้าแห่งเขาอกทะลุ ชาวเมืองพัทลุงเชื่อถือเปรียบเสมือนเสาหลักเมืองพัทลุง

ด้วยเหตุนี้ทางราชการจึงเอาภาพเขาอกทะลุ และเจดีย์บนยอดเขาทำเป็นตราสัญลักษณ์ของจังหวัดพัทลุง เขาอกทะลุยังเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญของจังหวัด


สำหรับตำนานของภูเขาลูกนี้เรื่องเล่าว่านานมาแล้วมีครอบครัวหนึ่งสามีชื่อนายเมืองเป็นพ่อค้าช้าง มีภรรยาสองคนภรรยาหลวงชื่อนางสินลาลุดี หรือนางดุดี ภรรยาน้อยชื่อนางบุปผาแต่มักทะเลาะตบตีกันเสมอ นายเมืองมีลูกสาวเกิดจากภรรยาหลวงคนหนึ่งชื่อนางยี่สุ่น ชื่นชอบการค้าขาย ส่วนภรรยาน้อยมีลูกชายชื่อนายซังกั้ง มีนิสัยเกเร


วันหนึ่งนายเมืองเดินทางไปค้าขายช้างต่างถิ่น ลูกสาวออกเรือสำเภาไปเมืองจีน ส่วนลูกชายท่องเที่ยวสนุกกับเพื่อน ทั้งสามไม่ได้กลับบ้าน มีเพียงภรรยาหลวงนั่งทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้าน และภรรยาน้อยกำลังตำข้าว ไม่นานทั้งสองเกิดมีปากเสียง ภรรยาหลวงใช้กระสวยทอผ้าพาดไปที่ศีรษะของภรรยาน้อย ทำให้แผลแตกเลือดไหลโกรก ภรรยาน้อย ใช้สากตำข้าวแทงและกระทุ้งตรงทรวงอกของภรรยาหลวงจนทะลุ ในที่สุดทั้งสองก็ถึงแก่ความตาย กลายสภาพเป็นภูเขา ภรรยาน้อยกลายเป็นเขาหัวแตก ส่วนภรรยาหลวงกลายเป็นเขาอกทะลุนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ต่อมาเมื่อนายเมืองเดินทางกลับมาทราบข่าวการตายของภรรยาทั้งสอง ก็ตรอมใจตายกลายเป็นเขาเมือง (เขาชัยบุรี) ซึ่งมีลักษณะคล้ายช้างหมอบ จากนั้นไม่นายนางยี่สุ่นก็เดินทางกลับมาถึงได้ทราบข่าวการตายของบิดามารดาก็ตรอมใจตายเช่นกันแล้วได้กลายเป็น เขาชัยสน ซึ่งมีลักษณะคล้ายเรือสำเภา ในท้องที่อำเภอเขาชัยสน ส่วนนายซังกั้งเดินทางกลับมาช้าสุดก็ได้ทราบข่าวการตายของคนในครอบครัว อยู่ต่อก็ตรอมใจตายกลายเป็นเขากัง


ส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline


กำลังโหลดความคิดเห็น