“ฉะเชิงเทรา” หรือที่ชาวบ้านย่านนั้นจะเรียกกันว่า “แปดริ้ว” ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไปประมาณ 60-70 กิโลเมตร ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมของนักเดินทางในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจให้เที่ยวชมอยู่มากมาย ที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทั้งแบบไปเช้า-เย็นกลับ หรือใครอยากจะพักค้างคืนก็ตามสะดวก
วัดสมานรัตนาราม
“วัดสมานรัตนาราม” วัดนี้มีพระพิฆเนศปางนอนเสวยสุของค์ใหญ่ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง ทำให้วัดสมานรัตนารามแห่งนี้มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไปอย่างกว้างขวาง ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีผู้ใดมาขอพรก็มักจะสำเร็จสมดังใจหวัง จนทำให้เป็นที่นับถือของคนทั่วไปอย่างรวดเร็ว พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุของค์นี้ มีเนื้อองค์เป็นสีชมพู
องค์พระพิฆเนศองค์นี้มีขนาดความสูง 16 เมตร และความกว้าง 14 เมตร ลักษณะกึ่งนอนตะแคงบนฐาน พระหัตถ์บนด้านขวาทรงเชือกบ่วงบาศก์ ที่ทรงใช้ในการนำพามนุษย์ไปสู่เส้นทางแห่งธรรมะ และหลุดพ้นพร้อมทรงขจัดอุปสรรคในระหว่างทาง พระหัตถ์บนซ้ายทรงเชือกขอสับ ที่ใช้ในการป้องกันและพันฝ่าความยากลำบาก พระหัตถ์ขวาล่างทรงงาที่หักครึ่ง เป็นสัญลักษณ์แห่งความเสียสละ พระหัตถ์ขวาด้านบนถือดอกบัว
ด้านหน้าฐานพระพิฆเนศ จะเห็นปูนปั้นรูปหนูอยู่สองตัว ที่ยืนทำมือป้องหูไว้ ตามประวัติเล่าว่า พระพิฆเนศมีหนูเป็นบริวาร และในความเชื่อของผู้ที่เคารพและสักการะขอพรเป็นประจำ เชื่อว่าถ้าอยากได้สิ่งใด ขอพรสิ่งใดให้สมหวัง ให้ไปกระซิบที่หูหนู แล้วเจ้าหนูบริวารนี้จะนำความไปบอกท่านพระพิฆเนศ ให้ประทานสิ่งที่ต้องการกลับมา และที่สำคัญอย่าลืมติดสินบนหนูด้วย โดยการทำบุญใส่ตู้ที่วางไว้ด้านหน้า
วัดสมานรัตนารามแห่งนี้ นอกจากจะมีพระพิฆเนศ ปางนอนเสวยสุขสีชมพู องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นที่เคารพ ขอพรแก่คนทั่วไปแล้ว ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆให้กราบไหว้บูชาขอพรอีกมากมาย เรียกได้ว่ามาที่วัดสมานฯแห่งเดียว ทำบุญได้ครบทุกด้านเลยทีเดียว
วัดโพรงอากาศ
“วัดโพรงอากาศ” ตั้งอยู่ที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว วัดแห่งนี้มีหลวงพ่อสมชาย เป็นเจ้าอาวาส และเป็นที่เคารพแก่ชาวบ้านละแวกนี้เป็นอย่างยิ่ง เมื่อในอดีตสมัยที่หลวงพ่อสมชายได้ธุดงค์ผ่านมา ชาวบ้านเกิดความศรัทธา จึงได้รวมกันถวายที่ดินเพื่อสร้างวัด ซึ่งปัจจุบันคือวัดโพรงอากาศแห่งนี้นั่นเอง
ภายในวัดนี้มี “องค์พระพิฆเนศปางนั่งประธานพร” พระพิฆเนศองค์นี้อยู่ในท่านั่งบนตั่ง มีความสูง 49 เมตร ไม่รวมฐาน และกว้าง 19 เมตร ผิวเนื้อเป็นสีชมพู มีหัตถ์ทั้งหมด 4 กร และมีงูใหญ่สีดำอยู่ข้างเอว และบนศีรษะสวมพระมาลา (หมวก) ถ้าสังเกตให้ดี บนด้านหน้าหมวกนั้นมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ซึ่งคือองค์หลวงพ่อโสธรจำลอง ขนาดหน้าตักกว้าง 60 นิ้ว การสร้างองค์พระพิฆเนศนี้ ทางวัดใช้เวลาก่อสร้างถึง 3 ปี กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ (ปี พ.ศ. 2556-2558) เริ่มเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อเดือน กุมภาพันธุ์ 2558
วัดจีนประชาสโมสร (เล่งฮกยี่)
วัดจีนประชาสโมสร (เล่งฮกยี่) วัดจีนเก่าแก่ ที่ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวจีน และชาวไทยเชื้อสายจีนมานาน เป็นวัดที่สร้างสืบเนื่องมาจากวัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน่ยยี่) ในเขตเยาวราช กรุงเทพมหานคร โดยวัดจีนประชาสโมสรนี้ถือเป็นส่วนท้องของมังกร ผู้คนมักจะแวะมากราบสักการะ ขอพร เพื่อความเจริญรุ่งเรือง เป็นสิริมงคลในการดำเนินชีวิต ช่วยในเรื่องโชคลาภ วาสนา ทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีน และปีใหม่ จะมีผู้คนมากราบไหว้กันมาก
บริเวณด้านในของวัด ที่จะต้องพบเห็นเป็นอันดับแรกคือ ท้าวจตุโลกบาลองค์ใหญ่ 4 องค์ เป็นดั่งทวารบาลคอยปกปักรักษาทิศทั้ง 4 เป็นองค์ขนาดใหญ่ จัดวางไว้เป็นคู่ ทั้งด้านซ้ายและขวา ภายในวิหารส่วนกลางของวัด เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ ได้แก่ พระอมิตาภพุทธเจ้า พระศรีศากยมุนี พระไภษัชคุรุพุทธเจ้า เชื่อว่าท่านช่วยเรื่องบำบัดปัดเป่า รักษาโรคภัยไข้เจ็บ
วัดอุภัยภาติการาม (ซำปอกง)
“วัดอุภัยภาติการาม” หรือที่คนเรียกกันติดปากว่า “วัดซำปอกง” เป็นวัดที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต (ซำปอกง) พระประธานองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดฉะเชิงเทรา และเป็นหลวงพ่อซำปอกง 1 ใน 3 องค์ในประเทศไทย เป็นพระศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวไทย และชาวไทยเชื้อสายจีน
หลวงพ่อโต (ซำปอกง) ที่วัดอุภัยภาติการาม เป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 6.5 เมตร สูง 12 เมตร สร้างโดยใช้ภาชนะสานด้วยไม้ไผ่ เอามาก่อซ้อนกันเป็นรูปองค์พระ ด้านนอกฉาบด้วยปูน แล้วจึงลงรักปิดทอง พุทธลักษณะเป็นปางมารวิชัย พระพักตร์ทรงเหลี่ยม พระกรรณยาว (หูยาว) รูปหน้าพระซำปอกงที่วัดอุภัยภาติการาม จะคล้ายจะพระพุทธรูปจีนมากกว่า และที่ระหว่างคิ้วจะไม่มีเครื่องหมายอุณาโลมเหมือนกับหลวงพ่อโต ที่วัดพนัญเชิง
“วัดอุภัยภาติการาม” หรือ “วัดซำปอกง” สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตามประวัติเล่าว่า มีเศรษฐีชาวจีน แถวชุมชนตลาดล่าง (บริเวณตลาดบ้านใหม่) ไปสักการะหลวงพ่อโตที่วัดพนัญเชิง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งในสมัยนั้นมีชาวจีนนิยมไปกราบไหว้กันมาก เพราะเชื่อว่านำโชคในเรื่องค้าขาย เมื่อกลับมาเกิดความศรัทธาเลื่อมใส ต่อมาจึงสละทรัพย์และที่ดิน เพื่อสร้างหลวงพ่อโต โดยให้ช่างไปจำลองแบบมาจากวัดพนัญเชิง จากนั้นสร้างวิหาร เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ภายใน
ต่อมาในปี พ.ศ.2450 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จประพาสเมืองฉะเชิงเทรา เพื่อเปิดทางรถไฟสายกรุงเทพฯ - ฉะเชิงเทรา และได้เสด็จพระราชดำเนินมายังวิหารที่สร้างอยู่ ทรงบริจาคเงินเป็นจำนวน 200 บาท ร่วมสมทบในการสร้างอาราม และปฏิสังขรณ์พระพุทธศาสนา รวมทั้งได้พระราชทานนามวัดว่า "วัดอุภัยภาติการาม" และพระราชทานนามพระพุทธรูปซำปอกงว่า "พระพุทธไตรรัตนนายก" (ชื่อเดียวกันกับหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง)
ตลาดบ้านใหม่
เมืองแปดริ้ว “ตลาดบ้านใหม่” ที่ยังคงมีกลิ่นอายของอดีตอยู่ค่อนข้างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นห้องแถวไม้ริมน้ำที่แม้จะเก่าแต่ก็ดูคลาสสิค ที่มีของให้ชิม-ชอปกันแบบเต็มอิ่ม ทั้งผักผลไม้ส่งตรงจากสวน ร้านกาแฟโบราณ ก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย หอยทอด ขนม ของกินเล่น และของฝากอีกมากมาย
อาหารและขนมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านกาแฟโบราณ ของกินเล่นอย่างกะลอจี๊ ทอดใหม่ๆ เคี้ยวหนึบหอมหวาน ขนมไข่โบราณ ที่ยังอบด้วยเตาถ่าน น้ำตาลสดหวานหอมดื่มแก้กระหาย ปลาตะเพียนต้มเค็ม ข้าวห่อใบบัว ผัดไทย หอยทอด ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ และอีกหลากหลายอาหารน่ากินสารพัด โดยเฉพาะผักผลไม้สดๆ จากสวน
ร้านขายของเล่นโบราณก็ยังได้รับความนิยมจากลูกค้าที่หาซื้อไปสะสมหรือนำไปตกแต่งบ้านในมุมเก๋ๆ ร้านขายของที่ระลึก ของเล่น ของฝาก งานฝีมือต่างๆ
เดินชอปเดินชิมกันแล้ว บริเวณตลาดก็ยังมีที่นั่งริมน้ำให้ได้แวะพักผ่อนกัน รับลมเย็นๆ ริมน้ำบางปะกง และยังมีบริการล่องเรือชมธรรมชาติในคลองบ้านใหม่อีกด้วย
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline