เมืองในฝัน “คัปปาโดเกีย” เมืองมรดกโลกแห่งตุรกี ภูมิประเทศแปลกตาน่าพิศวง มีทั้งหินรูปแท่ง รูปกรวยคว่ำ กระโจม และโดม จนถูกเรียกขานว่าปล่องนางฟ้า รวมถึงทิวทัศน์ของบอลลูนในยามเช้า ที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้าท่ามกลางเมืองสุดสวยแห่งนี้
ภาพของ “คัปปาโดเกีย” ที่คุ้นเคยกันดี คือภาพของบอลลูนลูกใหญ่สีสันสดใส ที่ลอยล่องอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศแปลกตา จนทำให้หลายๆ คนอยากจะเก็บกระเป๋า เดินทางมาดูด้วยตาตัวเองสักครั้ง
“คัปปาโดเกีย” (Cappadicia) นั้นเป็นชื่อเก่าแก่ภาษาฮิตไตต์ (ชนเผ่ารุ่นแรกๆ ที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้) แปลว่า “ดินแดนม้าพันธุ์ดี” ซึ่งอันที่จริงแล้วนั้น คัปปาโดเกียคืออาณาบริเวณหนึ่งทางตอนกลางของที่ราบสูงอนาโตเลีย (ตอนกลางของตุรกี) ครอบคลุมพื้นที่หลายเมืองใหญ่ ได้แก่ อวาโนส, เนฟเชฮีร์, อูร์กุป, คีเชฮีร์ เป็นต้น แต่จังหวัดที่โดดเด่นและมีคนนิยมไปเที่ยวกันมากที่สุดก็เห็นจะเป็นในเนฟเชฮีร์ เพราะมีดินแดนศักดิสิทธิ์อย่าง “เกอเรเม่” (Göreme)เป็นศูนย์กลางและเป็นหัวใจสำคัญ
การเดินทางไปที่เกอเรเม่นั้นสะดวกสบายเป็นอย่างยิ่ง หากตั้งต้นจาก อิสตันบูล เมืองท่องเที่ยวสำคัญของตุรกี สามารถเช่ารถยนต์ขับไปเอง หรือจะนั่งรถบัสตรงมาที่เกอเรเม่ก็ได้ แต่ที่สะดวกสบายสุดๆ ก็คือ การนั่งเครื่องบินจากอิสตันบูลมาลงที่สนามบินเนฟเชฮีร์ แล้วต่อรถตู้มาลงที่ใจกลางเมืองเกอเรเม่
เมื่อเข้าสู่พื้นที่ของเกอเรเม่แล้ว ก็จะพบว่าเหมือนหลุดเข้ามาในอีกเมืองหนึ่ง ด้วยสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างจากที่อื่นอย่างชัดเจน เราจะเริ่มมองเห็นหินแท่งใหญ่รูปทรงประหลาด ขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง แม้กระทั่งยืนอยู่บนถนนใจกลางเมืองแล้ว ก็ยังได้เห็นเจ้าแท่งหินอยู่รอบๆ ตัว
ซึ่งเจ้าแท่งหินเหล่านี้นับว่าเป็นประติมากรรมที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ เมื่อราวๆ 3-9 ล้านปีก่อน ภูเขาไฟสองลูกนามว่าเออซิเยส์และฮาซาน ได้ระเบิดขึ้นและมีลาวาพุ่งออกมาในเวลาใกล้เคียงกัน เถ้าถ่านจำนวนมากที่ออกมาพร้อมกันนี้ทับถมอัดแน่นกลายเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ กินพื้นที่กว้างไกลหลายร้อยตารางไมล์
จากนั้น ธรรมชาติก็กัดเซาะผืนดินใหม่นี้ต่อไปอีกนับล้านปี จนกลายมาเป็นหินรูปทรงประหลาดตาเหล่านี้ บ้างก็ว่าเป็นรูปแท่ง รูปกรวย รูปโดม และอีกสารพัดรูปทรง ดูประหนึ่งดินแดนในเทพนิยายจนผู้คนในพื้นที่เรียกขานกันว่า “ปล่องไฟนางฟ้า” ที่ในปี ค.ศ.1985 ยูเนสโกได้ประกาศให้พื้นที่มหัศจรรย์แห่งนี้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมแห่งแรกของตุรกี
เห็นเป็นหินรูปทรงแปลกตา แต่ที่น่าอัศจรรย์กว่านั้นคือ บริเวณนี้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของผู้คนมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 4 กลุ่มนักบวชในศาสนาคริสต์ได้เดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในเขตคัปปาโดเกีย แต่ชาวโรมัน ผู้ปกครองในยุคนั้นยังไม่ให้การยอมรับ จึงต้องมีการสร้างอารามหรือโบสถ์ขึ้นมาแบบหลบซ่อนอยู่ตามปล่องหินเหล่านั้น ไปจนถึงการขุดเจาะลงไปใต้ผืนดิน เกิดเป็นเมืองใต้ดินที่มีครบแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องโถง ห้องน้ำ โบสถ์ ทางหนีฉุกเฉิน เป็นต้น
ถ้าอยากเห็นภาพเมืองในถ้ำแบบที่ว่ามา สามารถไปชมได้ที่ “พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่” (Goreme Open Air Museum) หรือการไปชมเมืองใต้ดินที่ “ไคมัคลี” (Kaymakli Underground City) ที่อยู่ห่างจากเกอเรเม่ราวๆ 25 กิโลเมตร
แต่สำหรับคนที่อยากดื่มด่ำบรรยากาศสวยๆ ในเกอเรเม่อย่างเต็มอิ่ม จะใช้เวลาทั้งวันเดินเล่นอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็ได้ เพราะมีจุดให้แวะถ่ายรูปอยู่มากมาย มีคาเฟ่ ร้านอาหาร ให้แวะนั่งพักอยู่ทุกมุมของเมือง ส่วนที่พักในเกอเรเม่ ส่วนใหญ่จะมีคำว่า Cave ต่อท้าย เพราะแต่ละห้องนั้นจะตกแต่งให้คล้ายกับเราได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำ
กิจกรรมช่วงกลางวันในเกอเรเม่ มีทั้งการกินอาหารเช้าที่โรงแรมพร้อมกับการชมวิวเมือง ถ่ายรูปสวยๆ ที่ดาดฟ้าโรงแรม ซึ่งโรงแรมแต่ละแห่งก็จะมีมุมถ่ายรูปต่างกันไป จิบกาแฟที่คาเฟ่สวยๆ ทดลองชิมอาหารท้องถิ่นแถบอานาโตเลีย แวะไปถ่ายรูปที่ “Galerie Ikman” ร้านขายพรมสุดฮิต ที่ไม่ได้มีดีแค่พรมสวยๆ แต่ที่นี่ยังเปิดให้เข้าไปถ่ายรูปด้านในได้ด้วย คิดค่าเข้าไปถ่ายรูปทั้งแบบรายคนและเป็นกลุ่ม มีทั้งแบบถ่ายรูปเอง และให้ทางร้านถ่ายให้ (ทั้งนี้ เจ้าของร้านกระซิบว่า ถ้าซื้อพรมที่ร้านก็เข้ามาถ่ายรูปได้ฟรีเลย)
ยามเย็น ชวนกันเดินขึ้นชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่ Sunset Viewpoint ในวันที่อากาศดีๆ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ก็จะเห็นแสงสีส้มยามที่พระอาทิตย์ตกดิน ย้อมให้แท่งหินและทิวทัศน์รอบๆ ตัวกลายเป็นสีส้มทอง ก่อนท้องฟ้าจะค่อยๆ มืดลงกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม และเริ่มมีแสงไฟจากในเมืองที่ส่องสว่างขึ้น ทำให้เกอเรเม่ยิ่งกลายเป็นเหมือนเมืองในเทพนิยาย
และมาถึงยามเช้าที่ทุกคนรอคอย กับการไปขึ้นบอลลูนยักษ์ชมวิว หรือการไปยืนชมวิวบอลลูนยักษ์ที่ลอยอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศสวยๆ จะว่าไปแล้ว “บอลลูนยักษ์” นั้นถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของการมาเยือนเกอเรเม่ หรือคัปปาโดเกีย กันเลยทีเดียว
นักท่องเที่ยวหลายคนตั้งใจจะมาขึ้นบอลลูนยักษ์ให้ได้สักครั้งในชีวิต แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จ เนื่องจากบอลลูนยักษ์จะได้ลอยขึ้นฟ้าหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ โดยในช่วงบ่ายๆ ของแต่ละวัน ต้องลองสอบถามที่โรงแรม หรือร้านที่รับจองกิจกรรมท่องเที่ยวว่าวันรุ่งขึ้นบอลลูนจะมีโอกาสขึ้นหรือไม่
กิจกรรมขึ้นบอลลูนนั้นจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้ามืด ราวๆ 04.00 น. โดยทางบริษัทที่จองบอลลูนไว้จะมารับที่โรงแรมเพื่อไปเตรียมตัวขึ้นบอลลูน และเมื่อขึ้นไปแล้ว จะใช้เวลาชมวิวอยู่บนบอลลูนประมาณ 1 ชั่วโมง โดยในยามเช้าตรู่ของเกอเรเม่นั้นจะมีความวุ่นวายจอแจ ทั้งคนที่จะขึ้นและคนที่จะชมบอลลูนต่างเดินทางออกจากที่พักเพื่อไปชมความงดงามในยามเช้า
นอกจากการไปขึ้นบอลลูนยักษ์ ใครที่สมัครใจจะชมบอลลูนและถ่ายรูปอยู่ด้านล่างมากกว่า ก็มีตัวเลือกให้เลือกหลายแบบ ทั้งการชมบอลลูนอยู่บนดาดฟ้าของโรงแรมที่พัก นั่งรถออกไปชมตามจุดต่างๆ หรือจะเช่ารถคลาสสิกไปชมบอลลูน ซึ่งอย่างสุดท้ายนี้ แนะนำสำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป เพราะจะได้ทั้งรูปตัวเองในชุดสวยที่เตรียมไป มีรถคลาสสิกเป็นตัวประกอบ และด้านหลังเป็นบอลลูนที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
#########################################
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline