xs
xsm
sm
md
lg

เละคาบ้าน เพจ “พิจิตรปลดแอก” โพสต์ถาม “ใครได้ประโยชน์จากการทำบึงสีไฟบ้าง” เจอสวนกลับ “คำถามโง่ๆ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เละคาบ้าน เพจ “พิจิตรปลดแอก” โพสต์ถาม “ใครได้ประโยชน์จากการทำบึงสีไฟบ้าง” เจอสวนกลับ “คำถามโง่ๆ”
เพจ “พิจิตรปลดแอก” โดนทัวร์ลงเละคาบ้าน หลังโพสต์ถาม “ใครได้ผลประโยชน์จากการทำบึงสีไฟบ้าง...” เจอชาวเน็ตสวน ประชาชน คนพิจิตร ได้ประโยชน์ จวกเป็นคำถามโง่ๆ ไม่สร้างสรรค์ ถ่วงความเจริญ

ถือเป็นอีกหนึ่งดราม่าบนโลกโซเชียล เมื่อเพจ พิจิตรปลดแอก ได้ออกมาโพสต์ถาม “ใครได้ผลประโยชน์จากการทำบึงสีไฟบ้าง...”

งานนี้ปรากฏว่าโดนทัวร์ลงเละคาบ้าน โดยชาวเน็ตที่เข้าไปคอมเม้นต์ หลายคนโต้ว่า การพัฒนาบึงสีไฟ ประชาชนและคนพิจิตร ได้ประโยชน์ ทำให้คุณภาพชีวิตคนแถวนั้นดีขึ้น มีคนเดินทางมาท่องเที่ยวนำเม็ดเงินเข้าจังหวัดพิจิตร

นอกจากนี้ชาวเน็ตหลายคนยังจวกเพจนี้ว่า นี่เป็นคำถามโง่ๆ คำถามไม่สร้างสรรค์ ดีแต่แซะ และถ่วงความเจริญ

เพจ “พิจิตรปลดแอก” โพสต์ถาม “ใครได้ประโยชน์จากการทำบึงสีไฟบ้าง...”
สำหรับบึงสีไฟ เป็นบึงน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ที่อยู่คู่กับจังหวัดพิจิตรมาช้านาน เดิมมีพื้นที่กว้างขวางถึงกว่า 12,000 ไร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ทำให้ปัจจุบันบึงสีไฟลดขนาดลงเหลือพื้นที่ราว 5,390 ไร่ ถือเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่อันดับ 3 ของเมืองไทย ครอบคลุมพื้นที่ 5 ตำบลใน อ.เมืองพิจิตร ได้แก่ ต.ในเมือง ต.ท่าหลวง ต.เมืองเก่า ต.โรงช้าง และ ต.คลองคะเชนทร์

อย่างไรก็ดีในปี พ.ศ. 2556 บึงสีไฟประสบภาวะภัยแล้งอย่างหนัก ฝนที่ทิ้งช่วงเป็นเวลานานทำให้น้ำในบึงแห้งขอด จนเกิดดินแตกระแหง และในปี 2560 เกิดไฟไหม้บริเวณเกาะกลางบึงสีไฟ เนื่องจากมีวัชพืชแห้งทับถมกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดไฟไหม้ได้ง่าย โดยเฉพาะในภัยแล้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระบรมราโชบายในการพัฒนาแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำในพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ

บึงสีไฟสวยงามน่าเที่ยวหลังการพัฒนา
หลังจากนั้นในปี 2560 หน่วยราชการในพระองค์ได้น้อมนำพระบรมราโชบายในการปรับปรุงพัฒนาบึงสีไฟและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ให้กลับมาสมบูรณ์งดงามดังเดิม ดังนี้

-ด้านการบริหารจัดการดิน กรมเจ้าท่าดำเนินการขุดลอกบึงสีไฟระหว่างปีงบประมาณ 2560 ถึงปีงบประมาณ 2563

-ด้านการบริหารจัดการน้ำ แต่เดิมบึงสีไฟรับน้ำจากน้ำฝนและการผันน้ำจากระบบชลประทาน เข้ามาเติมในช่วงหน้าแล้ง ในการพัฒนาพื้นที่บึงสีไฟ กรมชลประทานโดยโครงการชลประทานพิจิตร ได้ผันน้ำ ผ่านคลองชลประทานอาศัยน้ำจากทางเหนือที่ไหลมาจากเขื่อนนเรศวร

-ด้านการปรับปรุงภูมิทัศน์ มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในสวน สมเด็จพระศรีนครินทร์พิจิตรและการปรับปรุงสภาพแวดล้อมโดยรอบบึงสีไฟ รวมทั้งมีการสร้างทางจากดินที่ขุดลอก มาทำเป็นทางจักรยาน ทางเดิน และลู่วิ่ง โดยสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ การพัฒนาอุทยานบัวบึงสีไฟโดยขยายพันธุ์บัวหลากหลายสายพันธุ์ จัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้และส่งเสริมการท่องเที่ยว ฯลฯ

ในปี 2566-2567 บึงสีไฟสามารถกักเก็บน้ำเต็มบึง 100% ในปริมาณ 12.64 ล้านลูกบาศก์เมตร (จากเดิมก่อนพัฒนาบึงเก็บน้ำได้ประมาณ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร)

บึงสีไฟสวยงามน่าเที่ยวหลังการพัฒนา (ภาพ : องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร)
วันนี้ “โครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติฯ” หลังการพัฒนาปรับปรุง ได้พลิกโฉมจากบึงที่เคยเสื่อมโทรม กลายเป็นบึงน้ำอันสวยงาม มีสวนสาธารณะให้คนในพิจิตรและคนต่างถิ่นมาพักผ่อนหย่อนใจ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเช็กอินสำคัญของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนพิจิตร รวมถึงเป็นสถานที่จัดงานสำคัญต่าง ๆ

สำหรับสิ่งน่าสนใจบริเวณบึงสีไฟนั้นก็มีหลากหลาย อาทิ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์, ประติมากรรมพญาชาละวันหรือรูปปั้นจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก, ประติมากรรมจระเข้ยืน สถานแสดงพันธุ์ปลาเฉลิมพระเกียรติ หรือ ศาลาเก้าเหลี่ยม ศาลากลางน้ำ และบ่อจระเข้ เป็นต้น

นอกจากนี้บึงสีไฟยังมีไฮไลต์แห่งใหม่ใต้พระบารมี คือ เลนปั่นจักรยานรอบบึงระยะทาง 10.28 กิโลเมตร และสนามจักรยานประเภทต่าง ๆ คือ สนามจักรยาน BMX สนามขาไถ สนามปั๊มแทรค และสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา ซึ่งทางจังหวัดพิจิตรเสนอให้บึงสีไฟเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยพระราชทานชื่อสนามจักรยานว่า “สนามจักรยานสราญจิตมงคลสุข” หมายความว่า สนามจักรยานเป็นสถานที่ทำให้ใจสำราญเป็นมงคลและสุขสบาย

เละคาบ้าน




กำลังโหลดความคิดเห็น