ททท.ชวนเที่ยว “วัดคูหาภิมุข” หรือ “วัดหน้าถ้ำ” วัดเก่าแก่คู่เมืองยะลา พร้อมสักการะ พระนอนองค์ใหญ่อายุกว่า 1,200 ปี และยักษ์เจ้าเขา 2 สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญประจำวัด ซึ่งบรรดานักท่องเที่ยวสายมูนิยมเดินทางมากราบไหว้ขอพรกันไม่น้อย
“ยะลา” เป็นจังหวัดหนึ่งเดียวในภาคใต้ที่ไม่มีพื้นที่ติดทะเล แต่ยะลาก็เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และมีสิ่งน่าสนใจให้เที่ยวชมกันอย่างหลากหลาย ซึ่งทาง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)” ภูมิภาคภาคใต้ และ ททท.สำนักงานนราธิวาส (รับผิดชอบพื้นที่ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา) ได้เชิญชวนนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง มาเที่ยวชมและสัมผัสสิ่งน่าสนใจของ “วัดคูหาภิมุข” อีกหนึ่งวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองยะลา ซึ่งมีความโดดเด่นและเอกลักษณ์ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
“วัดคูหาภิมุข” หรือที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า “วัดหน้าถ้ำ” ตั้งอยู่ที่ ต.หน้าถ้ำ อ.เมือง จ.ยะลา วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2390 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โดย “พระยายะลา” (พระยาณรงค์ฤทธิ์ ศรีประเทศวิเศษวังษา) หรือบางข้อมูลก็ระบุว่า ผู้ใหญ่บ้านที่นี่ที่อาศัยอยู่บริเวณหน้าถ้ำ ได้สร้างวัดขึ้นที่ริมเขาหน้า “ถ้ำคูหาภิมุข” ที่มี “พระพุทธไสยาสน์” เก่าแก่ประดิษฐานอยู่ภายในถ้ำมาช้านานจนคนเรียกขานกันว่าถ้ำพระนอน เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีในชุมชน
พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) หรือ “พระนอนศรีวิชัย” หรือที่ชาวบ้านเรียกขานว่า “พ่อท่านบรรทม” เป็นพระประธานในถ้ำพระนอน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปูชนียสถานที่สำคัญของภาคใต้ เช่นเดียวกับพระบรมธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช และพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่แสดงถึงความรุ่งเรืองของศาสนาพุทธในบริเวณนี้ตั้งแต่สมัยอาณาจักรศรีวิชัย
พ่อท่านบรรทม เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยศรีวิชัยรุ่งเรือง ราว พ.ศ.1300 เชื่อกันว่าพระนอนองค์นี้เดิมเป็นเทวรูปปางนารายณ์บรรทมสินธุ์เพราะมีภาพนาคแผ่พังพานปกพระเศียร ต่อมาจึงได้ดัดแปลงเป็นพระพุทธไสยาสน์แบบหินยานดังปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้
พ่อท่านบรรทมเป็นพระนอนวัสดุก่ออิฐถือปูน ปั้นด้วยดินเหนียวโดยใช้ไม้ไผ่เป็นโครง มีขนาดความยาวของพระเศียรถึงพระบาท 81 ฟุต 1 นิ้ว โดยรอบองค์พระ 35 ฟุต ศิลปะศรีวิชัยผสมลังกา เป็นพระพุทธรูปที่แสดงออกถึงพัฒนาการหรือการผสานศิลปวัฒนธรรมต่างยุคเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวสวยงาม
สำหรับองค์พ่อท่านบรรทมชาวบ้านในพื้นที่เชื่อกันว่า ท่านสามารถขอพรได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ครอบครัวมีความสุข สุขภาพแข็งแรง เป็นต้น
นอกจากองค์พ่อท่านบรรทมแล้ว ภายในถ้ำคูหาภิมุขยังมีหินงอกหินย้อยเป็นรูปลักษณะต่าง ๆ เช่น ม่าน เศียรช้างเอราวัณ และพระพุทธรูปต่าง ๆ อีกหลากหลาย รวมถึงมีน้ำใสสะอาดไหลรินจากโขดหินธรรมชาติ ให้ความชุ่มฉ่ำ
ขณะที่บริเวณส่วนห้องโถงใหญ่ ได้ดัดแปลงปรับปรุงเป็นศาสนสถาน มีปล่องที่เพดานถ้ำยามแสงแดดส่องลงมาดูสวยงาม รวมทั้งมีการติดตั้งไฟฟ้าเพื่ออำนวยความสะดวกสบายแก่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมถ้ำแห่งนี้
สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นไปสักการะองค์พระนอนในถ้ำคูหาภิมุข เมื่อเดินมาถึงตรงบันไดทางขึ้นสู่ปากถ้ำ จะพบรูปปั้นยักษ์ ที่ชาวบ้านเรียกว่า “เจ้าเขา” หรือ “ยักษ์เจ้าเขา” หรือ “พ่อท่านเจ้าเขา” ยืนตระหง่านโดดเด่นอยู่หน้าปากถ้ำ
พ่อท่านเจ้าเขาสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2484 มีลักษณะเป็นประติมากรรมรูปยักษ์ยืนตรงสูงราว 6 เมตร รูปร่างหน้าตาคล้ายชาวพื้นเมืองดั้งเดิม (ชาวโอรังอัสลี) มีผมหยิก หนวดเครารุงรัง ดวงตาโปน มีเขี้ยวงอกออกมาพ้นริมฝีปาก มีงูบองหลา(งูจงอาง) เป็นสายสร้อยคล้องคอ ต้นแขนทั้งสองข้างปั้นปูนเป็นสายรัดต้นแขนประดับด้วยหน้าบุคคลอย่างหน้ากากพรานบุญ
ร่างกายท่อนล่างของเจ้าเขาทำเป็นผ้านุ่งเหลืองมีลวดลายคล้ายการนุ่งด้วยหนังเสือ มือทั้งสองกุมกระบองที่มีหัวกะโหลกมนุษย์เป็นด้ามท้าย แนบไว้กลางลำตัวอย่างทะมัดทะแมง ส่วนเท้าเปลือยเปล่าไม่สวมรองเท้า
ชาวบ้านในพื้นที่เชื่อว่ายักษ์ตนนี้มีหน้าที่เฝ้าหน้าถ้ำคูหาภิมุข มิให้ผู้ใดเข้ามาขโมยทรัพย์สมบัติที่ฝังไว้ภายในถ้ำไปได้ ซึ่งมีตำนานเล่าขานว่าในอดีตมีขุนโจรผู้มีจิตใจอันชั่วช้าพร้อมด้วยลูกสมุน พยายามเข้ามาขโมยทรัพย์สมบัติเหล่านี้ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จและถูกยักษ์ทุบตีด้วยกระบองจนถึงแก่ความตาย
นอกจากนี้ชาวบ้านแถบนี้ยังเชื่อกันว่ายักษ์เจ้าเขามีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถบันดาลให้เกิดความสงบร่มเย็น หากผู้ใดทำผิดศีลธรรมหรือทำเรื่องร้ายแรงก็สามารถดลบันดาลให้มีอันเป็นไป แต่หากผู้ใดตั้งมั่นในศีลธรรม เมื่อมากราบไหว้หรือบนบานสิ่งใดก็จะได้รับพรสมปรารถนาโชคดีมีความสุขตลอดไป โดยเฉพาะการขอพรในเรื่องโชคลาภต่าง ๆ จึงเป็นที่นับถือจนได้รับการขนานนามว่า “พ่อท่านเจ้าเขา” มาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากพ่อท่านบรรทมและพ่อท่านเจ้าเขา 2 สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญแล้ว วัดคูหาภิมุข ยังมีส่วนของ พิพิธภัณฑ์ศรีวิชัย ที่เอาไว้เก็บพวกวัตถุโบราณที่ได้มาจากภายในวัดด้วย ไม่ว่าจะเป็น ภูเขากำปั่น พระพิมพ์ดินดิบ สถูปเม็ดพระศก อิฐฐานพระพุทธรูปของจอมพลป. พิบูลสงคราม
ขณะที่ห่างจากถ้ำพระนอน ไปประมาณ 300 เมตร เป็น “ถ้ำมืด” ภายในถ้ำมีหินงอก-หินย้อย รูปร่างสวยงามแปลกตา พร้อมทั้งมีรูปทรงที่คนในพื้นที่เรียกขานกันตามจินตนาการต่าง อาทิ ม่านฟ้า นาเกลือ หินงอกงวงช้าง หินงอกปลาโลมา หลุมแม่ม่าย เป็นต้น
นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถให้มัคคุเทศก์เยาวชน หรือ มัคคุเทศน์น้อยของศูนย์วัฒนธรรมตำบลหน้าถ้ำนำเที่ยวชมภายในถ้ำโดยไม่มีค่าใช้จ่าย มีเพียงร่วมบริจาคค่าไฟฉาย ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการใช้เดินชมภายในถ้ำ หรือหากใครจะให้ทิปกับน้อง ๆ ก็สามารถทำได้ เพราะถือเป็นการให้กำลังใจและช่วยเสริมน้อง ๆ เยาวชนที่รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
สำหรับใครที่เดินทางมาเที่ยวจังหวัดยะลา วัดคูหาภิมุขหรือวัดหน้าถ้ำ ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นของเมืองยะลา โดยเฉพาะบรรดาสายมูทั้งหลาย หากมีโอกาสได้ลองใต้ไปเยือนยะลา วัดคูหาภิมุขถือเป็นหนึ่งในจุดหมายของสายมูที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
###################
ภาพโดย : อโนทัย งานดี