ตามรอยนายกรัฐมนตรีไปเที่ยว 3 จังหวัดภาคใต้ ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส กับ 9 ที่น่าเที่ยว ที่ไปแล้วจะต้องหลงรักเมืองชายแดนใต้
หลังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีภารกิจลงพื้นที่ตรวจราชการ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส เมื่อวันที่ 27-29 ก.พ. ที่ผ่านมา
นับว่าเป็นการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวใน 3 จังหวัดนี้ ซึ่งเป้าหมายของการเข้าร่วมกิจกรรม “เที่ยวใต้ สุดใจ” ของนายกรัฐมนตรี ก็เพื่อต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งมีความโดดเด่นทั้งทางด้านศิลปวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และอาหารท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อ
ใครที่เห็นภาพการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีแล้วอยากไปเที่ยวตามรอย ก็มาเช็คอินกับ 9 ที่เที่ยว จาก 3 จังหวัด “ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส” กันได้เลย
มัสยิดกรือเซะ อ.เมือง จ.ปัตตานี
“มัสยิดกรือเซะ” หรือ “มัสยิดปินตูกรือบัน” คำว่า กรือเซะ มีความหมายว่า ทรายสีขาวใสดั่งไข่มุกเนื่องจากมีหาดทรายขาวสะอาด ในสมัยก่อนชาวอาหรับแล่นเรือมาถึงที่ชายหาดแห่งนี้ ชาวอาหรับเรียกชื่อชายหาดแห่งนี้ว่า ลุ ลุ ซึ่งหมายถึง ไข่มุก ในภาษามลายู ปัจจุบันพื้นที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า ตันหยงลูโล๊ะ และมีชื่ออย่างเป็นทางการคือ มัสยิดสุลต่านมูซัฟฟาร์ ซาห์ เป็นมัสยิดแห่งแรกในอาเซียนที่ถูกสร้างขึ้นด้วยอิฐแดง ที่ผลิตขึ้นในหมู่บ้านกะมิยอ จังหวัดปัตตานี
มัสยิดกรือเซะ เป็นมัสยิดโบราณอายุกว่า 300 ปี มีลักษณะโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมเชิงช่างผสมผสานศิลปะแห่งอาหรับ ด้วยรูปทรงโค้งแหลมเสาทรงกลม สร้างขึ้นในสมัยที่สุลต่านมูซัฟฟาร์ ซาร์ เป็นเจ้าเมืองปัตตานี (ปี 2073-2107) และเมื่อปี 2478 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานและมีการบูรณะในปี 2500 และปี 2525 เพื่อให้มัสยิดกรือเซะเป็นโบราณสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองปัตตานี
จากการขุดทางโบราณคดี พบว่า ฐานมัสยิดกรือเซะมีแผนผังเป็นรูปสีเหลี่ยมผืนผ้า มีขนาดกว้าง 15 เมตร ยาว 29.60 เมตร มีลักษณะเป็นฐานแอ่นโค้งสำเภาที่เป็นขุดฐานบัวลูกแก้วสร้างด้วยอิฐถือปูน ส่วนตัวอาคารมัสยิดชั้นเดียวขนาด 5 ห้อง ก่ออิฐถือปูน ตัวอาคารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก หน้าอาคารเป็นลานอิฐยกพื้น ภายในอาคารมีระเบียงล้อมรอบห้องประกอบพิธีทางศาสนา ประตูและหน้าต่างเป็นทรงโค้งแหลมและโค้งมนรองรับน้ำหนักเครื่องบนด้วยเสากลมขนาดใหญ่
ย่านตลาดจีน “กือดาจีนอ” อ.เมือง จ.ปัตตานี
ชุมชนเมืองเก่าปัตตานี หรือ “กือดาจีนอ” (กือดา แปลว่าตลาด, จีนอ หมายถึงจีน) หรือที่เรียกว่าชุมชนตลาดจีน ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา (ประวัติของชุมชนมีความเกี่ยวกันกับการสร้างศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) ก่อนจะดำรงฐานะเป็นเมืองท่าริมแม่น้ำปัตตานีที่มีความเจริญอย่างยิ่งในสมัย รัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๕
วันนี้เมืองเก่ายังคงมีรอยอดีตอันรุ่งโรจน์ของงานสถาปัตยกรรมจีนในสมัย ร.๓ และสถาปัตยกรรมผสมเทคนิคตะวันตกในสมัย ร.๕ ให้ได้เดินทอดน่องเที่ยวชมความเก่าแก่คลาสสิคกัน ไม่ว่าจะเป็น บ้านกงสี (บ้านเลขที่ 27 ), บ้าน 300 ปี, บ้านตึกขาว, บ้านเลขที่ 1, บ้านขุนพิทักษ์รายา และ บ้านรังนก เป็นต้น
ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว อ.เมือง จ.ปัตตานี
“ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” หรือ “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” ที่นี่เป็นศาลเจ้าเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองปัตตานีมาแต่โบราณ ภายในประดิษฐานรูปแกะสลักของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เจ้าแม่ทับทิม และองค์พระอื่นๆ ในทุกๆ วันก็จะมีประชาชนเข้ามาสักการะขอพรองค์เจ้าแม่และองค์พระต่างๆ กันอยู่ไม่ขาดสาย
ในทุกๆ ปี จะมีการจัดงานสมโภชฉลองเจ้าแม่ขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย ตามปฏิทินจันทรคติจีน (หลังวันตรุษจีน 15 วัน) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ โดยอัญเชิญองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว องค์ประธานพระหมอ และองค์พระต่างๆ ที่ประดิษฐานในศาลแห่ไปตามถนนในเมือง มาจนถึงสะพานเดชานุชิต ริมแม่น้ำปัตตานี จากนั้นก็นำเจ้าแม่และองค์พระต่างๆ ลุยข้ามแม่น้ำมาอีกฝั่ง เพื่อระลึกถึงเมื่อครั้งที่เจ้าแม่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตามหาพี่ชาย จากนั้นในช่วงบ่ายก็มีพิธีลุยไฟที่ลานกว้างด้านหน้าศาลเจ้า
มัสยิดกลางปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี
“มัสยิดกลางปัตตานี” นับเป็นมัสยิดที่สวยงามและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นศูนย์รวมจิตใจ ความศรัทธา และเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจของผู้นับถือศาสนาอิสลามในภาคใต้ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย มัสยิดแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาว่าได้สร้างขึ้นในปี 2497 และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2506
มัสยิดกลางปัตตานีมีต้นแบบมาจากทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย มียอดโดมสีเขียวขนาดใหญ่อยู่กลางอาคาร และโดมบริวารขนาดเล็กลงไปล้อมรอบ 4 ด้าน ด้านข้างมีหออะซาน ภายในมัสยิดเป็นโถงขนาดใหญ่ มีระเบียง 2 ข้าง และบัลลังก์ทรงสูงแคบ
ด้านหน้ามัสยิดมีน้ำพุ และสระน้ำ ที่สะท้อนแสงเงาของอาคารมัสยิด ในช่วงยามโพล้เพล้มัสยิดแห่งนี้จะมีการเปิดไฟประดับ นับเป็นอีกหนึ่งภาพจำของเมืองปัตตานีที่มีความงดงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ไม่น้อยเลย
หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
“วัดช้างให้” หรือ “วัดราษฎร์บูรณะ” เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมากว่า 300 ปีแล้ว ภายในวิหารมีรูปปั้นหลวงปู่ทวดขนาดเท่าองค์จริงประดิษฐานให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าไปสักการะ ใกล้กับวิหารก็มีสถูป เจดีย์ มณฑป อุโบสถ และหอระฆัง
ใครที่รู้จักวัดช้างให้ ก็คงเคยได้ยินชื่อเสียงของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด อันเป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาว่า เมื่อครั้งที่ท่านเดินทางไปกรุงศรีอยุธยาด้วยเรือสำเภา ลูกเรือรู้สึกกระหายน้ำมาก ท่านจึงได้แสดงเมตตาหย่อนเท้าลงไปในน้ำทะเล ปรากฏว่าน้ำทะเลบริเวณนั้นกลายเป็นน้ำจืดและสามารถดื่มกินได้ ตั้งแต่นั้นมาชื่อเสียงของท่านก็เป็นที่กล่าวถึงไปทั่ว
สวนดอกไม้เมืองหนาวเบตง (สวนหมื่นบุปผา) อ.เบตง จ.ยะลา
โครงการไม้ดอกหนาวอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือ “สวนหมื่นบุปผา” มีพื้นที่เฉลี่ย 50 ไร่ มีสภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศในพื้นที่ที่เป็นต้นทุน และความเข้มแข็งสมาชิกโครงการที่ได้ร่วมพลัง จัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงการเรียนรู้ ได้ปรับปรุงพื้นที่สวน "หว้านฟาเหยียน" ซึ่งมีความหมายว่า "สวนหมื่นบุปผา" เป็นจุดเรียนรู้พันธุ์ดอกไม้ มีดอกเบญจมาศ และไม้กระถางกว่า 40 สายพันธุ์ และปลูกผัก ปลูกไม้ผล เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงปลา รวมถึงกิจกรรมการท่องเที่ยว มีบริการรถรางพาชม และอีกสิ่งที่ห้ามพลาด คือการล่องเรือสไตล์จีน ชมภูมิทัศน์ 2 ฝั่งสวนดอกไม้ มีพิพิธภัณฑ์แสดงความเป็นมาโครงการ
สำหรับใครที่อยากรับอากาศหนาวๆสบาย ๆ สามารถสัมผัสหมอกตอนเช้าภายในบริเวณสวนไม้ดอก ทางสวนยังมีให้บริการห้องพักแบบ Low Carbon Betong Net Zero อีกด้วย ทำให้ได้รับอากาศที่เป็นธรรมชาติสุด ๆ นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารถิ่น ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพร ร้านนวด เปิดให้บริการ
อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ อ.เบตง จ.ยะลา
อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ เป็นอุโมงค์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้รถยนต์วิ่งลอดภูเขาแห่งแรกของเมืองไทย ตั้งอยู่บริเวณถนนอมรฤทธิ์ตัดกับถนนภักดีดำรง ผ่านสวนสาธารณะสู่ถนนมงคลประจักษ์ มีความยาว 273 เมตร กว้าง 9 เมตร สูง 7 เมตร ผิวจราจรคู่กว้าง 7 เมตร ทางเดินเท้ากว้างข้างละ 1 เมตร จัดความเร็วรถที่วิ่งลอดอุโมงค์ไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อุโมงค์แห่งนี้นอกจากจะสร้างเชื่อมต่อระหว่างชุมชนเมืองเก่าเบตงกับชุมชนเมืองใหม่หมู่บ้านแกรนด์วิวแล้ว 2 ฝั่งของอุโมงค์ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของเบตง ได้แก่หอนาฬิกาเบตง และตู้ไปรษณีย์สูงใหญ่ในฝั่งเมืองเก่า) ส่วนฝั่งเมืองใหม่มีสวนสาธารณะเทศบาลเมืองเบตง (สวนสุดสยาม) ที่ใกล้ ๆ กันมีประติมากรรมไก่เบตง ป้ายเบตงใต้สุดแดนสยาม และรูปปั้น “พี่ตูน บอดี้สแลม” ให้ถ่ายรูปเช็กอินกัน
พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล วัดเขากง อ.เมือง จ.นราธิวาส
“พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล” ประดิษฐานอยู่บนยอดเขา ที่ “พุทธอุทยานวัดเขากง” เป็นพระพุทธรูปสีทองอร่ามปางปฐมเทศนาขัดสมาธิเพชร ประทับนั่งกลางแจ้งดูโดดเด่นเปี่ยมศรัทธาอยู่บนเนินเขา ศิลปะแบบสกุลช่างอินเดียตอนใต้ สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก องค์พระสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กประดับโมเสคสีทอง หน้าตักกว้าง 15 เมตร สูง 24 เมตร นับเป็นพระพุทธรูปกลางแจ้งที่มีความงดงามและและมีขนาดใหญ่ในภาคใต้
พิพิธภัณฑ์มรดกวัฒนธรรมอิสลามและศูนย์การเรียนรู้คัมภีร์อัล-กุรอาน อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส
“พิพิธภัณฑ์มรดกวัฒนธรรมอิสลามและศูนย์การเรียนรู้คัมภีร์อัล-กุรอาน” ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2553 โดย นายมาหามะนุทรี หะยีสาแม ด้วยการรวบรวมประเภทคัมภีร์อัลกุรอานโบราณที่คัดด้วยลายมือ ที่เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอิสลาม ที่ตกทอดจากอดีตถึงปัจจุบัน ที่มีอายุตั้งแต่ 150-1,100 ปี ที่มีลวดลายสวยงามใช้สีประดับกรอบด้วยทองคำเปลว เขียนด้วยศิลปะมลายูนูซันตาราจีนและอาหรับผสมผสานกันได้อย่างกลมกลืน
ไฮไลต์ของคัมภีร์อัลกุรอานที่ถือว่าเก่าแก่ที่สุด คือ คัมภีร์อัลกุรอานที่ลงลวดลายอักษรในหนังแพะ ที่มีอายุเก่าแก่ถึง 1,030 ปี ช่วงสมัยที่ยังไม่มีกระดาษ และรองลงมาคือคัมภีร์อัลกุรอานที่ลงอักษรลงในเปลือกไม้ ในศตวรรษที่ 18 ที่มีอายุกว่า 300 ปี ส่วนคัมภีร์อัลกุรอานปัจจุบันที่พิพิธภัณฑ์อัลกุรอานวัฒนธรรมอิสลามแห่งนี้ ที่ได้รับการบริจาคจากกลุ่มประเทศต่างๆ และได้ทำการซ่อมแซมบูรณะตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง มีจำนวนทั้งสิ้น 79 เล่ม ยังไม่รวมถึงการรอบูรณะซ่อมแซมในจำนวนทั้งสิ้นกว่า 100 เล่ม
นอกจาก 9 สถานที่ท่องเที่ยวนี้แล้ว ทั้ง 3 จังหวัดภาคใต้ ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมาย ทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม ชุมชน วิถีชีวิต แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และยังมีอาหารการกินที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์ และยังรอให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัสความสุขทันที่ที่ได้มาเยือน
#########################################
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline